ยอดหมอหัวใจเพชร ยอมสละรายได้ 25 เปอร์เซ็นต์ แลกวันหยุด บินจากอเมริกา ไปรักษาผู้คนฟรี ๆ ที่ไนจีเรีย เผยไม่ลืมว่าตัวเองเคยจน ยอมเสียสละ เพื่อให้คนยากไร้มีชีวิตดีขึ้น
ทว่าในตอนที่เขาอายุ 19 ปี โอลาวาเลได้รับการหยิบยื่นโอกาสที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตนี้จะได้รับ เขาได้รับทุนไปเรียนหมอที่ต่างประเทศ และปัจจุบันเขาได้กลายเป็นหนึ่งในหมอด้านศัลยประสาทที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
ในวันที่เขาประสบความสำเร็จ หมอโอลาวาเลยอมเสียสละหลายสิ่งหลายอย่าง เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล จากทวีปอเมริกา ไปยังทวีปแอฟริกา เพื่อรักษาผู้คนในบ้านเกิดของเขา เพราะเขาไม่เคยลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองในอดีต นั่นคือการช่วยผู้คนให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
เรื่องราวของคุณหมอหัวใจเด็ดเดี่ยวคนนี้ ถูกหยิบมารายงานโดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2562 โดยปัจจุบัน หมอโอลาวาเล อายุ 49 ปี เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกประสาทศัลยศาสตร์ ของสถาบันประสาทวิทยาศาสตร์ออชส์เนอร์ ในเมืองนิวออร์ลีน รัฐลุยเซียนา สหรัฐฯ ชีวิตในวัยเด็กของเขานั้นแตกต่างจากปัจจุบันมาก หมอโอลาวาเล เล่าว่า เขาเกิดในครอบครัวใหญ่ มีพี่น้อง 10 คน แต่ละคนต่างนอนเบียดเสียดกันบนเสื่อบาง ๆ ที่ปูพื้น ห่างไกลจากคำว่าอยู่ดีกินดี
เขาพากเพียรเรียนจนจบ ตั้งใจทำงาน กระทั่งสามารถตั้งตัวได้ และเปิดบริษัทด้านการแพทย์เป็นของตัวเองในปี 2553 ซึ่งให้การรักษาด้านประสาทวิทยาทั้งในสหรัฐฯ และไนจีเรีย แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะเขาเล็งเห็นว่าตัวเองควรกลับไปพัฒนาระบบสาธารณสุขในบ้านเกิด
หมอโอลาวาเลตัดสินใจใช้วันหยุดพักร้อนทั้งหมดไปกับการเดินทางไปรักษาผู้คนที่ไนจีเรีย เขาได้บริจาคทุนทรัพย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์เป็นจำนวนมาก และตั้งใจเปิดแหล่งฝึกฝนเรียนรู้ด้านประสาทวิทยาที่ไนจีเรีย
แน่นอนว่าการทำแบบนี้มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน โดยหมอโอลาวาเลได้เจรจากับต้นสังกัดในสหรัฐฯ ยินยอมให้หักเงินเดือน 25 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้เขาได้มีวันหยุดพักร้อนเพิ่มมากขึ้น จะได้ไปช่วยรักษาผู้คนที่ไนจีเรียได้นาน ๆ โดยในปัจจุบัน เขาเดินทางไป-กลับ สหรัฐฯ-ไนจีเรีย ทุกเดือน อย่างน้อยเดือนละ 12 วัน
บริษัทวิจัยด้านการแพทย์ RNZ Global ของหมอโอลาวาเล ได้รักษาคนไข้ที่ไนจีเรียมาแล้วกว่า 500 ราย และได้แจกจ่ายยาให้แก่ผู้ป่วยยากไร้กว่า 5,000 ราย โดยในปัจจุบัน บริษัท RNZ Global ได้กลายเป็นมูลนิธิการกุศลที่ไม่แสวงผลกำไร และให้การรักษาด้านประสาทวิทยาฟรี ๆ แก่ผู้ป่วยยากไร้
นั่นยังไม่ใช่ก้าวสุดท้ายของหมอโอลาวาเล เขาจะยังมุ่งมั่นทำงานต่อไป ยอมเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางข้ามทวีป เพื่อผู้คนในบ้านเกิดของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นเม็ดเงินจากสิ่งนี้ แต่รอยยิ้มและความสุขของผู้ป่วย เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดแล้ว
"ผมเชื่อว่าความสุขมันไม่ได้เกิดจากการเป็นผู้รับ แต่เกิดจากการได้เป็นผู้ให้ ซึ่งการเป็นผู้ให้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเศรษฐีเงินล้านหรอกครับ ถึงจะให้ได้ เพราะมันมีโอกาสมากมายให้เราได้ทำสิ่งนั้นครับ" หมอโอลาวาเล กล่าว