สาวติดเชื้อ HIV โดนแฟนโพสต์แฉ ร่ำไห้เปิดใจกลางรายการ ยอมรับผิดที่ปิดบังแฟนทุกคนที่ผ่านมา แต่เคยบอกเป็นนัยแล้ว ว่าให้ใส่ถุงยาง
จากกรณีชายคนหนึ่งโพสต์ในเฟซบุ๊กแฉอดีตแฟนสาวปิดบังติดเชื้อ HIV แต่พอรู้ก็รัก ถึงขั้นผูกข้อไม้ข้อมือแต่งงานกัน สุดท้ายฝ่ายหญิงหนีไปมีคนใหม่ ทำให้ชีวิตพังทลาย และห่วงอีกฝ่ายจะไม่หยุดแพร่เชื้อ ออกมาแฉเพราะไม่อยากให้ไปทำกับคนอื่น
ล่าสุด ในรายการ โหนกระแส วันที่ 25 มิถุนายน 2563 หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.20 น. ทางช่อง 3 กดเลข 33 เปิดใจสัมภาษณ์ "เอ" (นามสมมติ) สาวที่ถูก "บี" (นามสมมติ) แฉผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งติดต่อรายการขอเคลียร์ทุกประเด็น มาพร้อมกับ "ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ หังสสูต" หน่วยไวรัสวิทยา ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ยอมรับว่าติดเชื้อ HIV ?
เอ : ยอมรับค่ะ
- เรื่องเกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้มีผู้ชายโพสต์ว่าคุณ ข้อเท็จจริงคืออะไร ?
เอ : หนูยอมรับในสิ่งที่หนูเป็น แต่ประเด็นที่บอกว่าหนูถูกรุมโทรม หนูขอพูดว่ามันไม่จริง ถ้าถูกรุมโทรมถึง 10 คนขนาดนั้น ต้องเป็นข่าวในช่วงนั้น ซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง
- ไปรู้จักผู้ชายคนนี้ได้ยังไง ?
เอ : รู้จักที่งานบวชแฟนเพื่อน ประมาณเดือนกันยายน ปีที่แล้วค่ะ ตอนนั้นยังไม่ได้คุยกัน หนูเป็นแดนเซอร์ค่ะ พอเราไปเจอกันก็ไม่ได้อะไร เพราะเรามีแฟนอยู่ เราไม่ได้สนใจว่ายังไง สักพักเพื่อนโทร. มาบอกว่ามีคนชอบ เราก็ใครวะ อยากรู้ เราก็คุย ตอนแรกทุกอย่างดี โอเค เขาเข้าใจเราดี แต่ยอมรับว่าเราไม่ได้บอกเขาตั้งแต่แรกว่าเราเป็น HIV เราไม่ได้พูด แล้วเราก็ตกลงไปอยู่กับเขา
- แล้วแฟนเราล่ะ ?
เอ : เราก็ทิ้งเขาเลย เรายอมรับว่าเราก็ไม่ได้ดี เราคุยกับเขาแล้วเขาเข้าใจเรา
- ไปอยู่กับคนนี้แล้วไงต่อ ?
เอ : ก็อยู่ด้วยกันปกติ
- คนเก่าได้บอกไหมว่าเป็น HIV ?
เอ : หนูก็ไม่ได้บอก จริง ๆ ตอนอยู่ด้วยกันเขาก็ไม่รู้ น่าจะรู้ตอนหลังที่เราเลิกกันไป เมษายนที่ผ่านมา บีน่าจะทักไปบอกแฟนเก่าเราว่าเป็น HIV
- แฟนเก่ารู้จากปากบี ?
เอ : ใช่ค่ะ ก็ไม่ทราบเขาไปตรวจหรือยัง แต่เราไม่ได้บอกเขาค่ะ
- เป็นประเด็นข่าวได้ยังไง บีบอกมีการผูกข้อไม้ข้อมือ ?
เอ : จริงค่ะ ตอนแรกเลยก่อนผูกข้อมือ เราบอกว่าเรายังไม่พร้อม ซึ่งตอนนั้นเขาก็ตกลงว่าผูกกันเถอะ เขารักเราจริง อยากอยู่ด้วย สินสอด 3 หมื่นบาท ซึ่งหนูพูดว่าหนูไม่อยากได้เงิน ถ้าอยากมาผูกให้เก็บเงินมาเอง อย่าเอาเงินคนอื่นมา อยากผูกมากเลยเหรอ ก็ไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าจะต้องผูก หนูก็ไม่เคยผูกข้อมือมาก่อน อันนี้เป็นงานแต่งครั้งแรกของหนูนะคะ แล้วเขาออกมาพูดว่าหนูผูกข้อมือเพราะอยากได้ค่าสินสอด ซึ่งไม่จริงค่ะ หนูไม่ได้อยากได้เงิน 3 หมื่น หนูทำงานตั้งแต่เด็ก หนูส่งตัวเองเรียน เขาก็รู้ดีว่าหนูเป็นคนทำงาน เพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกัน เขาไม่ได้ทำอะไรเลย งานก็ไม่ได้ทำ เขาเสพยาเสพติดค่ะ ซึ่งหนูขอให้เขาเลิกหลายครั้งมาก
- เขาเสพยาอะไร ?
เอ : ยาบ้าค่ะ หนูก็ขอให้เขาเลิก ถ้ารักกันจริงก็ขอให้เลิก เขาก็ตกลงจะเลิก แต่ยิ่งอยู่ไปก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยิ่งหนักเข้า ทีแรกแอบเสพ จนเขามาขอสูบยา เราจะพูดอะไรได้ ก็เฉย ๆ เงียบ เขาก็เลยสูบให้เราเห็น
- สาเหตุที่ทำให้ต้องเลิกคืออะไร ?
เอ : ตอนอยู่ด้วยกันทะเลาะกันก่อน เพราะคนที่บ้านเขาไม่รู้ใครพูดว่าเราติดยา เราก็โวยวายว่ากูไม่ได้ติด ทำไมต้องมากล่าวหาว่าติดยา ไปเอามาจากไหน ไปตรวจเยี่ยวกันเลยไหม เพราะหนูไม่ได้ติดยาจริง ๆ หนูก็ทะเลาะกัน มีปากเสียงกัน เขาก็ปกป้องญาติเขาว่าไม่รู้เลยว่าใครพูดจะโวยวายทำไม จนเขาด่าเราด้วยคำหยาบ
- ทั้งที่คุณเป็นคนหาเงินให้เขาใช้ เขาเอาไปเสพยา ?
เอ : ใช่ค่ะ มีส่วนน้อยที่เขาจะส่ง ช่วงแรก ๆ ที่คบกัน ส่วนน้อยที่จะโอนมาให้ ส่วนมากคือหนูเต้นหาเงินให้เขา
- พอเขาด่าคุณหนีเลย ?
เอ : หนูก็เก็บของ ให้เพื่อนขี่มอเตอร์ไซค์มารับไปบ้าน
- เขามาง้อ ?
เอ : เขาแชตเฟซบุ๊กมาง้อ บอกว่ารักเรานะ กลับมาไม่ได้เหรอ จนวันนั้นจะไปทำงาน หนูออกไปกับเพื่อน เขาขี่มอเตอร์ไซค์มาที่บ้านโดยไม่ได้บอกใครเลย มีพี่สะใภ้อยู่ในบ้านกับหลาน เขาเข้ามาโดยไม่บอกก่อน พอเจอกันเขาเดินออกจากห้องเรา ก็อ้าว มาได้ยังไง เขาก็ขี่รถออกไป ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเขารื้อ เพราะทุกอย่างปกติ
- ทำไมเขาถึงรู้ว่าเราเป็น HIV ?
เอ : เขาไปรื้อแล้วเจอเอกสารที่เป็นใบส่งตัว หลังจากนั้นเขาก็บอกว่ารู้แล้วนะเราเป็นอะไรยังไง เราก็ตกใจ เราก็ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ จะบอกแล้วแต่ไม่รู้จะบอกยังไง เรากลัว รักก็รัก อายก็อาย ไม่ได้อยากทำร้ายชีวิตหรือพังชีวิตใคร
- ทำไมไม่บอกเขา ?
เอ : ตอนนั้นอารมณ์รัก ยังไม่กล้าบอก กลัวเขาทิ้งเราไป ก็ไม่กล้าพูด
- พอเขารู้ว่ามีเชื้อ HIV ให้เขาไปตรวจไหม ?
เอ : เราก็บอกให้เขาไปตรวจมาก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน เพราะตอนนั้นเราก็ต้องทำงาน ซึ่งก็ยังไม่มีใครรู้ตอนนั้น
- เขาไปตรวจแล้วยังไง ?
เอ : เขาก็ติดเชื้อจากหนูค่ะ
- ตอนนั้นที่คบกันแรก ๆ เคยบอกให้เขาป้องกันไหม น้องไม่กล้าบอกเขาเพราะกลัวเขาทิ้ง นั่นคือมุมของน้อง แต่ต้องมีการเตือนคนที่รักหรือเปล่าให้ใส่ถุงยางอนามัย ไม่พร้อมมีอะไรแบบไม่มีถุงยาง ?
เอ : ก็บอกเป็นนัย ๆ อ้อม ๆ ว่าใส่ถุงยางเถอะ ยังไม่พร้อม กลัวพลาดท้อง เราไม่ได้พูดเรื่องโรคหรืออะไร แค่พูดให้ใส่ถุงยาง ป้องกัน ครั้งแรกเขาใส่ แต่หลังจากนั้นเขาไม่ได้ใส่ถุงยางเลย แล้วขอพูดตรงนี้เลยว่าเขาขอมีอะไรกับหนูตอนหนูเป็นประจำเดือนด้วย เพราะเขาเป็นคนอารมณ์สูง
- หลังเขารู้ว่าเขาติดเชื้อเขาว่ายังไง ?
เอ : เขาก็คุยกับเรา จะมาผูกข้อมือ หนูก็พูดว่าไม่ได้อยากผูกตอนนี้ มันเร็วไป เราเพิ่งคบกันได้ไม่นาน
- แสดงว่าเขารู้มานานแล้ว ?
เอ : น่าจะ 8 พฤศจิกายน เขารู้
- หลังจากนั้นเขาถึงมาขอแต่งงาน แสดงว่าเขายอมรับตั้งแต่แรก เขาบอกหนูไปติดผู้ชายคนใหม่ เขาอยากเตือนผู้ชายคนอื่น ?
เอ : เรื่องเตือนหนูโอเคนะคะ แต่ตอนนี้คนแชร์ข่าวจากหลักหน่วย สิบ ร้อย ตอนนี้เป็นพัน เกือบหมื่นแล้ว ซึ่งหนูก็เสียหายในเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะหนูทำงาน พอไปถึงที่ทำงานซื้อน้ำกินปกติ ร้านพี่ตรงข้ามมาคุยกับร้านหนูเรื่องนี้ แต่ทำให้หนูทำงานไม่ได้ แม้เขาจะบอกว่าโอเคกับหนู แต่สายตาคนอื่น
- เพราะเขาเปิดหน้าเราเลย ทำให้คนรู้ว่าเป็น HIV ?
เอ : ใช่ค่ะ
- วันนี้มีคนใหม่หรือยัง ?
เอ : ยอมรับว่ามีค่ะ
- มีสัมพันธ์ลึกซึ้งไหม ?
เอ : มีค่ะ แต่หนูป้องกันนะคะ
- บอกเขาไหมว่าเป็น HIV ?
เอ : ไม่ได้บอกค่ะ แต่ก็ป้องกันเหมือนเดิม
- ไม่ได้บอกอีกแล้ว ?
เอ : แต่เขาก็ป้องกันทุกครั้ง
- รู้ว่าเป็น HIV ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
เอ : ประมาณปีกว่า ๆ ได้แล้วค่ะ
- หลังจากมี HIV มีสัมพันธ์กับแฟนก่อนหน้าคุณบี มาคุณบี คนล่าสุดก็ไม่ได้บอกเขา แต่มีการป้องกัน ก่อนหน้าคุณบีป้องกันไหม คนที่คุณทิ้งเขามา ?
เอ : ไม่ได้ป้องกันอะไร แต่ก็บอกเหมือนกันว่าให้ป้องกัน แต่เขาไม่ป้องกัน
- วันนี้ก็ไม่รู้ชะตากรรมว่าเขาติดเชื้อ HIV หรือเปล่า ?
เอ : ใช่ค่ะ
- ก่อนหน้าคนที่คุณทิ้ง มีไหม ?
เอ : ก็มีนะคะ แต่ไม่ได้อะไรขนาดนั้น
- ติดมาจากไหน ?
เอ : น่าจะแฟนเก่าค่ะ เป็นช่วงปีใหม่ประมาณปี 2660 คุยมาสักพักหนึ่งแล้วไปเจอเขา ก็นัดเจอกัน
- แต่ตอนแรกน้องบอกว่าน้องสงสัยรอยสักน้อง ?
เอ : แต่เข็มนี้ล้างแอลกอฮอล์ไปแล้ว เชื้อมันน่าจะตาย
- อาจมีคนคิดแบบน้องที่ไม่กล้าบอกคนอื่นว่าเป็น HIV อาจารย์มองยังไง ?
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : ตอนติดเชื้อมา รู้ว่ามีเลือดบวกรู้สึกยังไง
เอ : เคยอยากฆ่าตัวตาย ไม่อยากอยู่ (ร้องไห้) ไม่ไปโรงเรียนเลย
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : ความรู้สึกแบบนี้ตอนที่รู้ว่าเป็นเลือดบวก เวลามีเชื้อนี้อยู่ ต้องคิดว่าไม่อยากให้คนอื่นมีประสบการณ์เลวร้ายเหมือนเรา เรื่องผ่านไปแล้วนะ ก็อยากจะถามว่าเอทานยาไหม
เอ : ทานค่ะ
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : ยังตรวจพบเชื้อไวรัสไหม เป็นศูนย์ไหม
เอ : เหลือแค่ไม่กี่พันแล้วค่ะ ล่าสุดเหลือแค่หลักพัน ตอนแรก ๆ กินยาไม่ตรงเวลา มันอัปไปหลักแสน แต่พอกินยาตรงตลอด มันลดมาเหลือหลักพัน ซีดีโฟร์ตอนนี้ขึ้นหลักร้อยปกติค่ะ แต่ตอนแรกที่เชื้อไวรัสขึ้นหลักแสน ซีดีโฟร์เหลือ 68 พอกินยาตรงเวลาเรื่อย ๆ ซีดีโฟร์ขึ้นเป็นหลักร้อย เชื้อไวรัสลดลงมาเหลือหลักพัน
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : ตอนที่เริ่มทานยาตรงเวลาจนถึงปัจจุบันนี้ นานเท่าไหร่แล้ว
เอ : ที่กินตรงเวลาเลย ประมาณเดือนพฤศจิกายน
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : 6-7 เดือน จะเล่าให้ฟังว่าผู้ป่วย HIV พอเริ่มทานยา เชื้อต้องหายไปเลย ไม่ใช่เหลือหลักพัน การที่เหลือหลักพัน มีความหมายหลายอย่าง อย่างแรกเลย มีเชื้อดื้อยาในตัวคุณ สอง ทานยาไม่ตรงเวลา ถ้าทานยาตรงเวลาเป๊ะ ๆ 24 ชม. ให้รับประทานยา ทานยาสูตรเม็ดเดียวใช่ไหม
เอ : 2 เม็ดค่ะ มีเชื้อดื้อยา
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : การรับประทานยาไม่ตรงเวลา ทำให้เชื้อดื้อยา ถ้าเขาติดเชื้อมันก็แย่อยู่แล้วนะ ยิ่งเชื้อดื้อยาด้วย ยิ่งแย่กว่าเดิม ต้องเข้าใจนะว่าเราเป็นผู้โชคร้าย เป็นผู้เคราะห์ร้ายติดเชื้อจากใครก็ไม่รู้ ติดเชื้อครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่
เอ : ประมาณ 20-21 ค่ะ
- ตัวน้องอาจมีความเข้าใจว่าคนเป็น HIV กังวลใจที่จะบอกคนอื่น เขาก็ไม่ได้บอกคนอื่นที่เขาคบด้วย ต้องเตือนยังไง ถ้ามีคนแบบนี้ จะเป็นห่วงโซ่ต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนกลัวไม่กล้าบอก คิดว่าจะอยู่ในสังคมร่วมกันไม่ได้ ?
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : ต้องแบ่งเป็น 2 เรื่อง เรื่องเพื่อนร่วมงาน และคู่รัก สำหรับคู่รักพอเข้าใจได้ คนเรารักกันมาก กลัวเรามีตำหนิแฟนเราจะทิ้งเราไป แต่ในที่สุดเราต้องบอก ถ้าเรารักเขาจริง เราไม่อยากทำร้ายเขา เราต้องบอกในสิ่งที่เราเป็น นั่นคือความรัก ไม่ใช่อยากครอบครองเขาเอาไว้ คิดว่าคนติดเชื้อต้องคิดแบบนี้ ความรักต้องเป็นความรักที่เป็นการให้ ไม่ใช่เอา สำหรับคนรอบข้างก็เป็นหน้าที่ของสังคม และแพทย์ทั่วไปที่ต้องให้ความรู้ว่าคนติดเชื้อ HIV สามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้
- ถ้ามีรักครั้งต่อไปอยากให้บอกตรง ๆ การทำแบบนี้สุดท้ายจะเป็นปัญหาตามมาและไม่จบสิ้น ?
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : อย่างที่เคยคุยกัน U=U ถ้าทานยาตรงเวลา เชื้อลงไปต่ำกว่าจุดที่แล็บวัดไม่ได้แล้ว นั่นคือจะไม่แพร่เชื้อให้ แต่ก็อยากให้ป้องกันอยู่ เพราะโรคอื่นก็มี
- มีประเด็นที่คนเขาพูดกัน น้องมีเรื่องรอยสักแก๊งนกฮูกยังไง ?
เอ : อันนี้ไม่จริงค่ะ แล้วมีสื่อบางสื่อเอาไปออกว่าเราไปเกี่ยวกับแก๊งนั้น ซึ่งมันไม่ใช่ หนูเพิ่งสักรอยสักนี้ไม่กี่ปีนี่เอง มันไม่เกี่ยวกัน
- ที่บอกว่ามีอะไรกับผู้ชายมากหน้าหลายตา ?
เอ : ไม่จริงค่ะ
- ถ้าฝั่งบีดูอยู่อยากบอกอะไร ?
เอ : ก็ขอโทษในสิ่งที่หนูผิด แต่ก็อยากให้ออกมารับผิดชอบในสิ่งที่หนูต้องเจอ เพราะทุกวันนี้หนูออกไปทำงานไม่ได้ ในเมื่อหนูมีครอบครัวต้องดูแล ถึงเจ้านายจะโอเคยังไง แต่สายตาคนอื่นก็มองหนูไม่ดีอยู่แล้ว เขาไม่โอเค ถ้าเราไปทำงาน เขาก็จะเสีย เราทำงานก็เจอผู้คน
- อย่างแรกเรื่องอดีตแฟนออกมาแฉ โดยเอารูปไปโพสต์ว่าเป็น HIV อันนั้นก็คือผิดอยู่แล้วเป็นการละเมิด อีกมุมหนึ่ง การที่น้องคบใครรักใครแล้วไม่ได้บอกว่าติด HIV แม้ไม่มีกฎหมายบ่งชี้ว่าผิด แต่เป็นเรื่องจริยธรรม ?
เอ : หนูก็ยอมรับว่าหนูผิด
- แฟนคนปัจจุบันทราบแล้ว ?
เอ : ใช่ค่ะ
- แล้วเขาไปตรวจหรือยัง ?
เอ : ไปแล้วค่ะ ยังไม่รู้ผลค่ะ
- เขาตกใจไหม ?
เอ : เขาก็ตกใจ แต่เขาบอกว่าอย่าคิดสั้นนะ เราเคยพูดว่าไม่อยากอยู่แล้ว มันมืดไปหมด อยากจบชีวิต มันเหนื่อยแล้ว (ร้องไห้) เราทำงานไม่ได้ คนเริ่มด่าไปยันพ่อยันแม่ ด่าเราได้แต่พ่อแม่เราไม่เกี่ยว
จากกรณีชายคนหนึ่งโพสต์ในเฟซบุ๊กแฉอดีตแฟนสาวปิดบังติดเชื้อ HIV แต่พอรู้ก็รัก ถึงขั้นผูกข้อไม้ข้อมือแต่งงานกัน สุดท้ายฝ่ายหญิงหนีไปมีคนใหม่ ทำให้ชีวิตพังทลาย และห่วงอีกฝ่ายจะไม่หยุดแพร่เชื้อ ออกมาแฉเพราะไม่อยากให้ไปทำกับคนอื่น
ล่าสุด ในรายการ โหนกระแส วันที่ 25 มิถุนายน 2563 หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.20 น. ทางช่อง 3 กดเลข 33 เปิดใจสัมภาษณ์ "เอ" (นามสมมติ) สาวที่ถูก "บี" (นามสมมติ) แฉผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งติดต่อรายการขอเคลียร์ทุกประเด็น มาพร้อมกับ "ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ หังสสูต" หน่วยไวรัสวิทยา ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ยอมรับว่าติดเชื้อ HIV ?
เอ : ยอมรับค่ะ
- เรื่องเกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้มีผู้ชายโพสต์ว่าคุณ ข้อเท็จจริงคืออะไร ?
เอ : หนูยอมรับในสิ่งที่หนูเป็น แต่ประเด็นที่บอกว่าหนูถูกรุมโทรม หนูขอพูดว่ามันไม่จริง ถ้าถูกรุมโทรมถึง 10 คนขนาดนั้น ต้องเป็นข่าวในช่วงนั้น ซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง
- ไปรู้จักผู้ชายคนนี้ได้ยังไง ?
เอ : รู้จักที่งานบวชแฟนเพื่อน ประมาณเดือนกันยายน ปีที่แล้วค่ะ ตอนนั้นยังไม่ได้คุยกัน หนูเป็นแดนเซอร์ค่ะ พอเราไปเจอกันก็ไม่ได้อะไร เพราะเรามีแฟนอยู่ เราไม่ได้สนใจว่ายังไง สักพักเพื่อนโทร. มาบอกว่ามีคนชอบ เราก็ใครวะ อยากรู้ เราก็คุย ตอนแรกทุกอย่างดี โอเค เขาเข้าใจเราดี แต่ยอมรับว่าเราไม่ได้บอกเขาตั้งแต่แรกว่าเราเป็น HIV เราไม่ได้พูด แล้วเราก็ตกลงไปอยู่กับเขา
- แล้วแฟนเราล่ะ ?
เอ : เราก็ทิ้งเขาเลย เรายอมรับว่าเราก็ไม่ได้ดี เราคุยกับเขาแล้วเขาเข้าใจเรา
- ไปอยู่กับคนนี้แล้วไงต่อ ?
เอ : ก็อยู่ด้วยกันปกติ
- คนเก่าได้บอกไหมว่าเป็น HIV ?
เอ : หนูก็ไม่ได้บอก จริง ๆ ตอนอยู่ด้วยกันเขาก็ไม่รู้ น่าจะรู้ตอนหลังที่เราเลิกกันไป เมษายนที่ผ่านมา บีน่าจะทักไปบอกแฟนเก่าเราว่าเป็น HIV
- แฟนเก่ารู้จากปากบี ?
เอ : ใช่ค่ะ ก็ไม่ทราบเขาไปตรวจหรือยัง แต่เราไม่ได้บอกเขาค่ะ
- เป็นประเด็นข่าวได้ยังไง บีบอกมีการผูกข้อไม้ข้อมือ ?
เอ : จริงค่ะ ตอนแรกเลยก่อนผูกข้อมือ เราบอกว่าเรายังไม่พร้อม ซึ่งตอนนั้นเขาก็ตกลงว่าผูกกันเถอะ เขารักเราจริง อยากอยู่ด้วย สินสอด 3 หมื่นบาท ซึ่งหนูพูดว่าหนูไม่อยากได้เงิน ถ้าอยากมาผูกให้เก็บเงินมาเอง อย่าเอาเงินคนอื่นมา อยากผูกมากเลยเหรอ ก็ไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าจะต้องผูก หนูก็ไม่เคยผูกข้อมือมาก่อน อันนี้เป็นงานแต่งครั้งแรกของหนูนะคะ แล้วเขาออกมาพูดว่าหนูผูกข้อมือเพราะอยากได้ค่าสินสอด ซึ่งไม่จริงค่ะ หนูไม่ได้อยากได้เงิน 3 หมื่น หนูทำงานตั้งแต่เด็ก หนูส่งตัวเองเรียน เขาก็รู้ดีว่าหนูเป็นคนทำงาน เพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกัน เขาไม่ได้ทำอะไรเลย งานก็ไม่ได้ทำ เขาเสพยาเสพติดค่ะ ซึ่งหนูขอให้เขาเลิกหลายครั้งมาก
- เขาเสพยาอะไร ?
เอ : ยาบ้าค่ะ หนูก็ขอให้เขาเลิก ถ้ารักกันจริงก็ขอให้เลิก เขาก็ตกลงจะเลิก แต่ยิ่งอยู่ไปก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยิ่งหนักเข้า ทีแรกแอบเสพ จนเขามาขอสูบยา เราจะพูดอะไรได้ ก็เฉย ๆ เงียบ เขาก็เลยสูบให้เราเห็น
- สาเหตุที่ทำให้ต้องเลิกคืออะไร ?
เอ : ตอนอยู่ด้วยกันทะเลาะกันก่อน เพราะคนที่บ้านเขาไม่รู้ใครพูดว่าเราติดยา เราก็โวยวายว่ากูไม่ได้ติด ทำไมต้องมากล่าวหาว่าติดยา ไปเอามาจากไหน ไปตรวจเยี่ยวกันเลยไหม เพราะหนูไม่ได้ติดยาจริง ๆ หนูก็ทะเลาะกัน มีปากเสียงกัน เขาก็ปกป้องญาติเขาว่าไม่รู้เลยว่าใครพูดจะโวยวายทำไม จนเขาด่าเราด้วยคำหยาบ
- ทั้งที่คุณเป็นคนหาเงินให้เขาใช้ เขาเอาไปเสพยา ?
เอ : ใช่ค่ะ มีส่วนน้อยที่เขาจะส่ง ช่วงแรก ๆ ที่คบกัน ส่วนน้อยที่จะโอนมาให้ ส่วนมากคือหนูเต้นหาเงินให้เขา
- พอเขาด่าคุณหนีเลย ?
เอ : หนูก็เก็บของ ให้เพื่อนขี่มอเตอร์ไซค์มารับไปบ้าน
- เขามาง้อ ?
เอ : เขาแชตเฟซบุ๊กมาง้อ บอกว่ารักเรานะ กลับมาไม่ได้เหรอ จนวันนั้นจะไปทำงาน หนูออกไปกับเพื่อน เขาขี่มอเตอร์ไซค์มาที่บ้านโดยไม่ได้บอกใครเลย มีพี่สะใภ้อยู่ในบ้านกับหลาน เขาเข้ามาโดยไม่บอกก่อน พอเจอกันเขาเดินออกจากห้องเรา ก็อ้าว มาได้ยังไง เขาก็ขี่รถออกไป ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเขารื้อ เพราะทุกอย่างปกติ
- ทำไมเขาถึงรู้ว่าเราเป็น HIV ?
เอ : เขาไปรื้อแล้วเจอเอกสารที่เป็นใบส่งตัว หลังจากนั้นเขาก็บอกว่ารู้แล้วนะเราเป็นอะไรยังไง เราก็ตกใจ เราก็ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ จะบอกแล้วแต่ไม่รู้จะบอกยังไง เรากลัว รักก็รัก อายก็อาย ไม่ได้อยากทำร้ายชีวิตหรือพังชีวิตใคร
- ทำไมไม่บอกเขา ?
เอ : ตอนนั้นอารมณ์รัก ยังไม่กล้าบอก กลัวเขาทิ้งเราไป ก็ไม่กล้าพูด
- พอเขารู้ว่ามีเชื้อ HIV ให้เขาไปตรวจไหม ?
เอ : เราก็บอกให้เขาไปตรวจมาก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน เพราะตอนนั้นเราก็ต้องทำงาน ซึ่งก็ยังไม่มีใครรู้ตอนนั้น
- เขาไปตรวจแล้วยังไง ?
เอ : เขาก็ติดเชื้อจากหนูค่ะ
- ตอนนั้นที่คบกันแรก ๆ เคยบอกให้เขาป้องกันไหม น้องไม่กล้าบอกเขาเพราะกลัวเขาทิ้ง นั่นคือมุมของน้อง แต่ต้องมีการเตือนคนที่รักหรือเปล่าให้ใส่ถุงยางอนามัย ไม่พร้อมมีอะไรแบบไม่มีถุงยาง ?
เอ : ก็บอกเป็นนัย ๆ อ้อม ๆ ว่าใส่ถุงยางเถอะ ยังไม่พร้อม กลัวพลาดท้อง เราไม่ได้พูดเรื่องโรคหรืออะไร แค่พูดให้ใส่ถุงยาง ป้องกัน ครั้งแรกเขาใส่ แต่หลังจากนั้นเขาไม่ได้ใส่ถุงยางเลย แล้วขอพูดตรงนี้เลยว่าเขาขอมีอะไรกับหนูตอนหนูเป็นประจำเดือนด้วย เพราะเขาเป็นคนอารมณ์สูง
- หลังเขารู้ว่าเขาติดเชื้อเขาว่ายังไง ?
เอ : เขาก็คุยกับเรา จะมาผูกข้อมือ หนูก็พูดว่าไม่ได้อยากผูกตอนนี้ มันเร็วไป เราเพิ่งคบกันได้ไม่นาน
- แสดงว่าเขารู้มานานแล้ว ?
เอ : น่าจะ 8 พฤศจิกายน เขารู้
- หลังจากนั้นเขาถึงมาขอแต่งงาน แสดงว่าเขายอมรับตั้งแต่แรก เขาบอกหนูไปติดผู้ชายคนใหม่ เขาอยากเตือนผู้ชายคนอื่น ?
เอ : เรื่องเตือนหนูโอเคนะคะ แต่ตอนนี้คนแชร์ข่าวจากหลักหน่วย สิบ ร้อย ตอนนี้เป็นพัน เกือบหมื่นแล้ว ซึ่งหนูก็เสียหายในเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะหนูทำงาน พอไปถึงที่ทำงานซื้อน้ำกินปกติ ร้านพี่ตรงข้ามมาคุยกับร้านหนูเรื่องนี้ แต่ทำให้หนูทำงานไม่ได้ แม้เขาจะบอกว่าโอเคกับหนู แต่สายตาคนอื่น
- เพราะเขาเปิดหน้าเราเลย ทำให้คนรู้ว่าเป็น HIV ?
เอ : ใช่ค่ะ
- วันนี้มีคนใหม่หรือยัง ?
เอ : ยอมรับว่ามีค่ะ
- มีสัมพันธ์ลึกซึ้งไหม ?
เอ : มีค่ะ แต่หนูป้องกันนะคะ
- บอกเขาไหมว่าเป็น HIV ?
เอ : ไม่ได้บอกค่ะ แต่ก็ป้องกันเหมือนเดิม
- ไม่ได้บอกอีกแล้ว ?
เอ : แต่เขาก็ป้องกันทุกครั้ง
- รู้ว่าเป็น HIV ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
เอ : ประมาณปีกว่า ๆ ได้แล้วค่ะ
- หลังจากมี HIV มีสัมพันธ์กับแฟนก่อนหน้าคุณบี มาคุณบี คนล่าสุดก็ไม่ได้บอกเขา แต่มีการป้องกัน ก่อนหน้าคุณบีป้องกันไหม คนที่คุณทิ้งเขามา ?
เอ : ไม่ได้ป้องกันอะไร แต่ก็บอกเหมือนกันว่าให้ป้องกัน แต่เขาไม่ป้องกัน
- วันนี้ก็ไม่รู้ชะตากรรมว่าเขาติดเชื้อ HIV หรือเปล่า ?
เอ : ใช่ค่ะ
- ก่อนหน้าคนที่คุณทิ้ง มีไหม ?
เอ : ก็มีนะคะ แต่ไม่ได้อะไรขนาดนั้น
- ติดมาจากไหน ?
เอ : น่าจะแฟนเก่าค่ะ เป็นช่วงปีใหม่ประมาณปี 2660 คุยมาสักพักหนึ่งแล้วไปเจอเขา ก็นัดเจอกัน
- แต่ตอนแรกน้องบอกว่าน้องสงสัยรอยสักน้อง ?
เอ : แต่เข็มนี้ล้างแอลกอฮอล์ไปแล้ว เชื้อมันน่าจะตาย
- อาจมีคนคิดแบบน้องที่ไม่กล้าบอกคนอื่นว่าเป็น HIV อาจารย์มองยังไง ?
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : ตอนติดเชื้อมา รู้ว่ามีเลือดบวกรู้สึกยังไง
เอ : เคยอยากฆ่าตัวตาย ไม่อยากอยู่ (ร้องไห้) ไม่ไปโรงเรียนเลย
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : ความรู้สึกแบบนี้ตอนที่รู้ว่าเป็นเลือดบวก เวลามีเชื้อนี้อยู่ ต้องคิดว่าไม่อยากให้คนอื่นมีประสบการณ์เลวร้ายเหมือนเรา เรื่องผ่านไปแล้วนะ ก็อยากจะถามว่าเอทานยาไหม
เอ : ทานค่ะ
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : ยังตรวจพบเชื้อไวรัสไหม เป็นศูนย์ไหม
เอ : เหลือแค่ไม่กี่พันแล้วค่ะ ล่าสุดเหลือแค่หลักพัน ตอนแรก ๆ กินยาไม่ตรงเวลา มันอัปไปหลักแสน แต่พอกินยาตรงตลอด มันลดมาเหลือหลักพัน ซีดีโฟร์ตอนนี้ขึ้นหลักร้อยปกติค่ะ แต่ตอนแรกที่เชื้อไวรัสขึ้นหลักแสน ซีดีโฟร์เหลือ 68 พอกินยาตรงเวลาเรื่อย ๆ ซีดีโฟร์ขึ้นเป็นหลักร้อย เชื้อไวรัสลดลงมาเหลือหลักพัน
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : ตอนที่เริ่มทานยาตรงเวลาจนถึงปัจจุบันนี้ นานเท่าไหร่แล้ว
เอ : ที่กินตรงเวลาเลย ประมาณเดือนพฤศจิกายน
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : 6-7 เดือน จะเล่าให้ฟังว่าผู้ป่วย HIV พอเริ่มทานยา เชื้อต้องหายไปเลย ไม่ใช่เหลือหลักพัน การที่เหลือหลักพัน มีความหมายหลายอย่าง อย่างแรกเลย มีเชื้อดื้อยาในตัวคุณ สอง ทานยาไม่ตรงเวลา ถ้าทานยาตรงเวลาเป๊ะ ๆ 24 ชม. ให้รับประทานยา ทานยาสูตรเม็ดเดียวใช่ไหม
เอ : 2 เม็ดค่ะ มีเชื้อดื้อยา
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : การรับประทานยาไม่ตรงเวลา ทำให้เชื้อดื้อยา ถ้าเขาติดเชื้อมันก็แย่อยู่แล้วนะ ยิ่งเชื้อดื้อยาด้วย ยิ่งแย่กว่าเดิม ต้องเข้าใจนะว่าเราเป็นผู้โชคร้าย เป็นผู้เคราะห์ร้ายติดเชื้อจากใครก็ไม่รู้ ติดเชื้อครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่
เอ : ประมาณ 20-21 ค่ะ
- ตัวน้องอาจมีความเข้าใจว่าคนเป็น HIV กังวลใจที่จะบอกคนอื่น เขาก็ไม่ได้บอกคนอื่นที่เขาคบด้วย ต้องเตือนยังไง ถ้ามีคนแบบนี้ จะเป็นห่วงโซ่ต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนกลัวไม่กล้าบอก คิดว่าจะอยู่ในสังคมร่วมกันไม่ได้ ?
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : ต้องแบ่งเป็น 2 เรื่อง เรื่องเพื่อนร่วมงาน และคู่รัก สำหรับคู่รักพอเข้าใจได้ คนเรารักกันมาก กลัวเรามีตำหนิแฟนเราจะทิ้งเราไป แต่ในที่สุดเราต้องบอก ถ้าเรารักเขาจริง เราไม่อยากทำร้ายเขา เราต้องบอกในสิ่งที่เราเป็น นั่นคือความรัก ไม่ใช่อยากครอบครองเขาเอาไว้ คิดว่าคนติดเชื้อต้องคิดแบบนี้ ความรักต้องเป็นความรักที่เป็นการให้ ไม่ใช่เอา สำหรับคนรอบข้างก็เป็นหน้าที่ของสังคม และแพทย์ทั่วไปที่ต้องให้ความรู้ว่าคนติดเชื้อ HIV สามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้
- ถ้ามีรักครั้งต่อไปอยากให้บอกตรง ๆ การทำแบบนี้สุดท้ายจะเป็นปัญหาตามมาและไม่จบสิ้น ?
ผศ. ดร. นพ.ปกรัฐ : อย่างที่เคยคุยกัน U=U ถ้าทานยาตรงเวลา เชื้อลงไปต่ำกว่าจุดที่แล็บวัดไม่ได้แล้ว นั่นคือจะไม่แพร่เชื้อให้ แต่ก็อยากให้ป้องกันอยู่ เพราะโรคอื่นก็มี
- มีประเด็นที่คนเขาพูดกัน น้องมีเรื่องรอยสักแก๊งนกฮูกยังไง ?
เอ : อันนี้ไม่จริงค่ะ แล้วมีสื่อบางสื่อเอาไปออกว่าเราไปเกี่ยวกับแก๊งนั้น ซึ่งมันไม่ใช่ หนูเพิ่งสักรอยสักนี้ไม่กี่ปีนี่เอง มันไม่เกี่ยวกัน
- ที่บอกว่ามีอะไรกับผู้ชายมากหน้าหลายตา ?
เอ : ไม่จริงค่ะ
- ถ้าฝั่งบีดูอยู่อยากบอกอะไร ?
เอ : ก็ขอโทษในสิ่งที่หนูผิด แต่ก็อยากให้ออกมารับผิดชอบในสิ่งที่หนูต้องเจอ เพราะทุกวันนี้หนูออกไปทำงานไม่ได้ ในเมื่อหนูมีครอบครัวต้องดูแล ถึงเจ้านายจะโอเคยังไง แต่สายตาคนอื่นก็มองหนูไม่ดีอยู่แล้ว เขาไม่โอเค ถ้าเราไปทำงาน เขาก็จะเสีย เราทำงานก็เจอผู้คน
- อย่างแรกเรื่องอดีตแฟนออกมาแฉ โดยเอารูปไปโพสต์ว่าเป็น HIV อันนั้นก็คือผิดอยู่แล้วเป็นการละเมิด อีกมุมหนึ่ง การที่น้องคบใครรักใครแล้วไม่ได้บอกว่าติด HIV แม้ไม่มีกฎหมายบ่งชี้ว่าผิด แต่เป็นเรื่องจริยธรรม ?
เอ : หนูก็ยอมรับว่าหนูผิด
- แฟนคนปัจจุบันทราบแล้ว ?
เอ : ใช่ค่ะ
- แล้วเขาไปตรวจหรือยัง ?
เอ : ไปแล้วค่ะ ยังไม่รู้ผลค่ะ
- เขาตกใจไหม ?
เอ : เขาก็ตกใจ แต่เขาบอกว่าอย่าคิดสั้นนะ เราเคยพูดว่าไม่อยากอยู่แล้ว มันมืดไปหมด อยากจบชีวิต มันเหนื่อยแล้ว (ร้องไห้) เราทำงานไม่ได้ คนเริ่มด่าไปยันพ่อยันแม่ ด่าเราได้แต่พ่อแม่เราไม่เกี่ยว