นาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มีความผิดทุกข้อกล่าวหา ใน คดี 1MDB ปมทุจริตคอร์รัปชันสุดอื้อฉาว ผู้พิพากษาซัด ผิดอย่างไร้ข้อกังขา
โมฮัมเหม็ด นาซลัน กาซาลี ผู้พิพากษาศาลกรุงกัวลาลัมเปอร์ กล่าวว่า ราซัคทำการโอนเงินประมาณ 42 ล้านริงกิต หรือกว่า 311 ล้านบาท (อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน) จาก SRC International หน่วยงานภายใต้สังกัดโครงการ 1MDB เข้าสู่บัญชีส่วนตัวของตนเอง
นอกจากนี้แล้ว ในระหว่างที่ราซัคดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น เขาได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่ได้รับอนุญาตให้การอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแหล่งที่มาของเงินที่ไหลเข้าสู่บัญชีส่วนตัวของเขา และเขาได้ประโยชน์มหาศาลจากเรื่องนี้
การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ศาลสูงมาเลเซียมีคำสั่งให้ราซัคจ่ายเงินชดเชยประมาณ 1.69 พันล้านริงกิต หรือราว 1.25 หมื่นล้านบาท
ให้กับรัฐบาลมาเลเซีย เป็นค่าปรับและค่าภาษีค้างชำระในระหว่างช่วงปี 2554-2560
แม้ว่าในขณะนี้จะยังพิจารณาคดีทั้งหมดไม่เสร็จสิ้น แต่จากความผิดจริงตามข้อกล่าวหาดังกล่าวนั้น ราซัคจะได้รับโทษจำคุกหลายสิบปี ถูกปรับเป็นเงินจำนวนมหาศาล รวมทั้งจะต้องโดนเฆี่ยนด้วยเช่นกัน แต่เนื่องด้วยอายุของเขา ทำให้อาจจะได้รับการผ่อนผันไม่ถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยน
ขอบคุณข้อมูลจาก Al Jazeera
ภาพจาก ymphotos / Shutterstock.com
วันที่ 28 กรกฎาคม 2563 สำนักข่าวอัลจาซีรา รายงานว่า ดาโต๊ะ สรี นาจิบ ราซัค (Najib Razak) วัย 67 ปี อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดจริงในทุกข้อกล่าวหา ในคดีคอร์รัปชันกองทุน 1MDB ปมทุจริตคอร์รัปชันสุดอื้อฉาวระดับโลก ซึ่งพัวพันกับเม็ดเงินมหาศาลหลายหมื่นล้านบาท โดยการตัดสินครั้งนี้ทำให้ราซัคเป็นผู้นำมาเลเซียคนแรก ที่มีความผิดและจะถูกต้องโทษในคดีทุจริตคอร์รัปชันโมฮัมเหม็ด นาซลัน กาซาลี ผู้พิพากษาศาลกรุงกัวลาลัมเปอร์ กล่าวว่า ราซัคทำการโอนเงินประมาณ 42 ล้านริงกิต หรือกว่า 311 ล้านบาท (อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน) จาก SRC International หน่วยงานภายใต้สังกัดโครงการ 1MDB เข้าสู่บัญชีส่วนตัวของตนเอง
นอกจากนี้แล้ว ในระหว่างที่ราซัคดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น เขาได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่ได้รับอนุญาตให้การอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแหล่งที่มาของเงินที่ไหลเข้าสู่บัญชีส่วนตัวของเขา และเขาได้ประโยชน์มหาศาลจากเรื่องนี้
ภาพจาก MOHD RASFAN / AFP
ทนายความของราซัคขาดหลักฐานและข้อแก้ต่างอันสมเหตุสมผล รวมทั้งล้มเหลวที่จะคัดค้านข้อกล่าวหาทั้งหมด ทำให้สามารถตัดสินได้อย่างไร้ข้อกังขาว่า ราซัคมีความผิดจริงในทุกข้อกล่าวหา ซึ่งรวมทั้งข้อหาคอร์รัปชัน, ใช้อำนาจในทางที่ผิด, ละเมิดต่อหน้าที่ และข้อหาฟอกเงินอีกหลายกระทงแม้ว่าในขณะนี้จะยังพิจารณาคดีทั้งหมดไม่เสร็จสิ้น แต่จากความผิดจริงตามข้อกล่าวหาดังกล่าวนั้น ราซัคจะได้รับโทษจำคุกหลายสิบปี ถูกปรับเป็นเงินจำนวนมหาศาล รวมทั้งจะต้องโดนเฆี่ยนด้วยเช่นกัน แต่เนื่องด้วยอายุของเขา ทำให้อาจจะได้รับการผ่อนผันไม่ถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยน
ขอบคุณข้อมูลจาก Al Jazeera