วิชา มหาคุณ เผยผลตรวจสอบคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ลั่นมีขบวนการร่วมมือกันโดยใช้ทฤษฎีสมคบคิด ทำสำนวนแบบสมยอม เพื่อช่วย บอส อยู่วิทยา หลุดคดี หากแก้ไขต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่
วันที่ 1 กันยายน 2563 ไทยพีบีเอส รายงานว่า นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและกฎหมาย คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส แถลงข่าวสรุปผลการตรวจสอบว่า ข้อมูลที่ได้มาในชั้นต้นไม่ครบถ้วน จึงกังวลว่าหากเผยแพร่ออกไปจะกระทบกับคดี แต่ขณะนี้การตรวจสอบนั้นมีความสมบูรณ์และได้สรุปข้อมูลรายงานนายกรัฐมนตรีแล้ว
ซึ่งจากการตรวจสอบแล้วพบว่าการทำสำนวนในคดีดังกล่าวมีความบกพร่อง โดยเฉพาะการตั้งข้อหาให้กับผู้เสียชีวิต ด.ต. วิเชียร กลั่นประเสริฐ ซึ่งไม่เป็นธรรมและไม่ถูกกฎหมาย เพราะไม่มีโอกาสสู้คดี แม้ครอบครัวจะรับเงินเยียวยาแล้ว แต่รูปคดีเสียหายอย่างหนัก จึงสรุปได้ว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้ตั้งรูปคดีอย่างมืออาชีพ และไม่จริงใจในการทำสำนวนคดี เพราะบางข้อกล่าวหาไม่มีในสำนวน แม้จะมีการสอบสวนไว้ก่อนที่จะสั่งฟ้อง เช่น เรื่องเมาแล้วขับ เป็นต้น
นายวิชา กล่าวอีกว่า สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญคือระยะเวลาที่ใช้สอบสวนที่นานกว่า 6 เดือน แต่กลับไม่ได้ตัวผู้กระทำผิดส่งฟ้องต่อศาล ตามที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องตั้งแต่แรก ซึ่งอัยการหลายคนได้ต่อสู้ยืนหยัดต่อเรื่องนี้เพราะเห็นว่าไม่ถูกต้อง แม้จะถูกกดดัน อีกทั้งยังพบช่องโหว่ในส่วนของการร้องขอความเป็นธรรม ที่มีการร้องขอความเป็นธรรมถึง 13 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยพบความผิดปกติมากที่สุดในการร้องขอความเป็นธรรมในครั้งที่ 8 มีการทำสำนวน "สมยอมไม่สุจริต" ในการสอบสวน รวมถึงระบุวันที่เป็นเท็จและกลับความเห็นของพยาน และยังพบการหยิบยกพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ โดยเป็นการร่วมกันทำงานระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ ทนายความ และอัยการ
ทั้งนี้ คณะกรรมการมีความเห็นตรงกันว่า คดีนี้เป็นการทำสำนวนอันเป็นการ "สมยอมไม่สุจริต" โดยเป็นการร่วมมือกันตามทฤษฎีสมคบคิด ทำให้สำนวนเสียหายตั้งแต่ต้น จึงเห็นว่าควรให้มีการสอบสวนใหม่ โดยเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่คดีนี้บางข้อหาหมดอายุความไปแล้ว ดังนั้น คณะกรรมการจึงมีข้อเสนอแนะให้แก้ไข "การให้อายุความหยุดลง เมื่อผู้ต้องหาหลบหนี" เช่นเดียวกับการพิจารณาคดีทุจริต ทั้งนี้ อายุความจะเริ่มกลับมานับต่อเมื่อได้ตัวผู้กระทำผิดมาแล้ว ประเด็นนี้จึงเป็นข้อเสนอหนึ่งในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม รวมถึงจะมีการดำเนินการสำหรับบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งสูง ซึ่งสามารถดำเนินการด้านจริยธรรมเพื่อให้พ้นจากตำแหน่งได้
นอกจากนี้ ช่อง 3 ยังได้รายงานเพิ่มเติมว่า ผลตรวจสอบในเรื่องของการคำนวณความเร็วรถของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานนั้น พบว่ากรณีที่มีประเด็น พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธ์ุม่วง อดีต ผบ.ตร. ได้นำตัว ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม มาพบกับ พ.ต.ท. ธนสิทธิ แตงจั่น (ยศในขณะนั้น) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากผลการตรวจสอบพบว่า วันที่เกิดเหตุคือวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ไม่ใช่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งเป็นวันที่ พล.ต.อ. สมยศ ไปประชุมฟีฟ่า ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยพีบีเอส, ช่อง3
วันที่ 1 กันยายน 2563 ไทยพีบีเอส รายงานว่า นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและกฎหมาย คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส แถลงข่าวสรุปผลการตรวจสอบว่า ข้อมูลที่ได้มาในชั้นต้นไม่ครบถ้วน จึงกังวลว่าหากเผยแพร่ออกไปจะกระทบกับคดี แต่ขณะนี้การตรวจสอบนั้นมีความสมบูรณ์และได้สรุปข้อมูลรายงานนายกรัฐมนตรีแล้ว
ซึ่งจากการตรวจสอบแล้วพบว่าการทำสำนวนในคดีดังกล่าวมีความบกพร่อง โดยเฉพาะการตั้งข้อหาให้กับผู้เสียชีวิต ด.ต. วิเชียร กลั่นประเสริฐ ซึ่งไม่เป็นธรรมและไม่ถูกกฎหมาย เพราะไม่มีโอกาสสู้คดี แม้ครอบครัวจะรับเงินเยียวยาแล้ว แต่รูปคดีเสียหายอย่างหนัก จึงสรุปได้ว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้ตั้งรูปคดีอย่างมืออาชีพ และไม่จริงใจในการทำสำนวนคดี เพราะบางข้อกล่าวหาไม่มีในสำนวน แม้จะมีการสอบสวนไว้ก่อนที่จะสั่งฟ้อง เช่น เรื่องเมาแล้วขับ เป็นต้น
นายวิชา กล่าวอีกว่า สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญคือระยะเวลาที่ใช้สอบสวนที่นานกว่า 6 เดือน แต่กลับไม่ได้ตัวผู้กระทำผิดส่งฟ้องต่อศาล ตามที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องตั้งแต่แรก ซึ่งอัยการหลายคนได้ต่อสู้ยืนหยัดต่อเรื่องนี้เพราะเห็นว่าไม่ถูกต้อง แม้จะถูกกดดัน อีกทั้งยังพบช่องโหว่ในส่วนของการร้องขอความเป็นธรรม ที่มีการร้องขอความเป็นธรรมถึง 13 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยพบความผิดปกติมากที่สุดในการร้องขอความเป็นธรรมในครั้งที่ 8 มีการทำสำนวน "สมยอมไม่สุจริต" ในการสอบสวน รวมถึงระบุวันที่เป็นเท็จและกลับความเห็นของพยาน และยังพบการหยิบยกพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ โดยเป็นการร่วมกันทำงานระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ ทนายความ และอัยการ
ทั้งนี้ คณะกรรมการมีความเห็นตรงกันว่า คดีนี้เป็นการทำสำนวนอันเป็นการ "สมยอมไม่สุจริต" โดยเป็นการร่วมมือกันตามทฤษฎีสมคบคิด ทำให้สำนวนเสียหายตั้งแต่ต้น จึงเห็นว่าควรให้มีการสอบสวนใหม่ โดยเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่คดีนี้บางข้อหาหมดอายุความไปแล้ว ดังนั้น คณะกรรมการจึงมีข้อเสนอแนะให้แก้ไข "การให้อายุความหยุดลง เมื่อผู้ต้องหาหลบหนี" เช่นเดียวกับการพิจารณาคดีทุจริต ทั้งนี้ อายุความจะเริ่มกลับมานับต่อเมื่อได้ตัวผู้กระทำผิดมาแล้ว ประเด็นนี้จึงเป็นข้อเสนอหนึ่งในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม รวมถึงจะมีการดำเนินการสำหรับบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งสูง ซึ่งสามารถดำเนินการด้านจริยธรรมเพื่อให้พ้นจากตำแหน่งได้
นอกจากนี้ ช่อง 3 ยังได้รายงานเพิ่มเติมว่า ผลตรวจสอบในเรื่องของการคำนวณความเร็วรถของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานนั้น พบว่ากรณีที่มีประเด็น พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธ์ุม่วง อดีต ผบ.ตร. ได้นำตัว ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม มาพบกับ พ.ต.ท. ธนสิทธิ แตงจั่น (ยศในขณะนั้น) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากผลการตรวจสอบพบว่า วันที่เกิดเหตุคือวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ไม่ใช่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งเป็นวันที่ พล.ต.อ. สมยศ ไปประชุมฟีฟ่า ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยพีบีเอส, ช่อง3
