เปิดประวัติ โจ ไบเดน กับ 5 เรื่องต้องรู้ ของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ ของสหรัฐฯ หลังชนะศึกการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา 2020 หลังรับคะแนนเสียงเกิน 270 เสียง
ภาพจาก ANGELA WEISS / AFP
กลายเป็นชัยชนะครั้งสำคัญ สำหรับ โจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ที่สามารถพลิกเกมจนเอาชนะ โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน หลังได้รับคะแนนเสียงท่วมท้นก่อนจะคว้าชัยในรัฐเพนซิลเวเนีย รัฐบ้านเกิดของนายไบเดน ทำให้เขาได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 270 เสียง จนได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งในวันนี้ทางกระปุกดอทคอมจะพาไปรู้จักกับประวัติของ โจ ไบเดน ผ่าน 5 เรื่องราวที่น่าสนใจของเขาคนนี้
โจ ไบเดน กับ โดนัลด์ ทรัมป์ คู่หยุดโลก
ภาพจาก JIM WATSON, OLIVIER DOULIERY / AFP
ภาพจาก JIM WATSON, OLIVIER DOULIERY / AFP
โจ ไบเดน (Joe Biden) มีชื่อจริงว่า โจเซฟ ไบเดน (Joseph Biden) เป็นชาวรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐฯ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านศิลปศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรัฐเดลาแวร์ และจบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านกฎหมาย จากมหาวิทยาลัยซีราคิวส์
ไบเดน เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2485 ปัจจุบันอายุ 77 ปี ด้วยเหตุนี้หากเขาชนะการเลือกตั้ง เขาจะกลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์
โจ ไบเดน แต่งงาน 2 ครั้ง และมีลูก 4 คน แต่ต้องเผชิญกับการสูญเสียครั้งเลวร้าย
2. นักการเมืองแห่งพรรคสีน้ำเงิน
โจ ไบเดน เป็นเดโมแครตแท้ ๆ เขาเริ่มต้นเส้นทางการเมืองตั้งแต่ช่วงต้นยุค 70 และได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต ประเด็นที่ไบเดนให้ความสนใจมากที่สุดก็คือ กระบวนการยุติธรรมและการต่างประเทศ
- ภรรยาคนแรก นีเลีย ฮันเตอร์ (Neilia Hunter) มีลูกด้วยกัน 3 คน ได้แก่ ลูกชาย 2 คน โบ ไบเดน (Beau Biden) และ ฮันเตอร์ ไบเดน (Hunter Biden) และลูกสาว 1 คน คือ นาโอมิ คริสตินา ไบเดน (Naomi Christina Biden)
- นีเลีย ฮันเตอร์ เสียชีวิตพร้อมลูกสาว หลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อก่อนคริสต์มาส ปี 1972 ขณะออกไปซื้อต้นคริสต์มาส ส่วนลูกชาย 2 คน บาดเจ็บสาหัส
- โบ ไบเดน ลูกชายคนโต เสียชีวิตในปี 2015 ด้วยโรคมะเร็งสมอง
- โจ ไบเดน แต่งงานครั้งที่ 2 กับ ดร.จิล ไบเดน มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน คือ แอชลีย์ ไบเดน (Ashley Biden)
โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020
ภาพจาก VP Brothers / Shutterstock.com
ภาพจาก VP Brothers / Shutterstock.com
โจ ไบเดน เป็นเดโมแครตแท้ ๆ เขาเริ่มต้นเส้นทางการเมืองตั้งแต่ช่วงต้นยุค 70 และได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต ประเด็นที่ไบเดนให้ความสนใจมากที่สุดก็คือ กระบวนการยุติธรรมและการต่างประเทศ
ไบเดนยังคงให้ความสำคัญอยู่จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้แล้ว ไบเดนยังได้เป็นสมาชิก Narcotics Control Caucus ซึ่งมีจุดประสงค์สำคัญคือ การต่อต้านยาเสพติด และควบคุมป้องกันเส้นทางการค้ายาจากต่างชาติ
บารัค โอบามา กับ โจ ไบเดน
ภาพจาก EMMANUEL DUNAND / AFP
ภาพจาก EMMANUEL DUNAND / AFP
3. ตำนานนายรอง
โจ ไบเดน เคยลงสมัครในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาแล้ว 2 ครั้ง โดยลงสมัครในฐานะคู่ชิงเลือกตั้งของ บารัค โอบามา (Barack Obama) หมายความว่าเขาลงแข่งในฐานะรองประธานาธิบดี ซึ่งเมื่อโอบามาชนะการเลือกตั้งทั้งสองเทอม ไบเดนจึงกลายเป็นรองประธานาธิบดีคนที่ 47
4. ผู้เป็นที่รักของหลายฝ่าย
โจ ไบเดน เป็นคนที่มีบุคลิกเรียบง่าย ตรงกันข้ามกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยความที่เข้าถึงง่าย และติดดิน เขาจึงมีความเข้าอกเข้าใจชนชั้นแรงงาน และได้ใจกลุ่มคนชั้นรากหญ้า
การเป็นรองประธานาธิบดีมา 8 ปี ทำให้เขาได้รับความเคารพจากสมาชิกพรรคเดโมแครต และเป็นที่เชื่อถือของประชาชนที่สนับสนุนพรรคนี้ด้วยเช่นกัน
อีกเหตุผลที่ทำให้ โจ ไบเดน ได้ใจผู้หญิงและชาวผิวสีไปเต็ม ๆ คือ การที่เขาเลือก คามาลา แฮร์ริส มาเป็นคู่ชิงเลือกตั้ง ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันที่มีผู้หญิง ซ้ำยังเป็นหญิงผิวสี ได้มายืนตรงจุดนี้
คามาลา แฮร์ริส คู่ชิงเลือกตั้งของ โจ ไบเดน
ภาพจาก OLIVIER DOULIERY AFP
จุดยืนของ โจ ไบเดน คือการทำให้สหรัฐฯ กลับมาหยัดยืนในเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิอีกครั้ง
เขายังสานต่อเจตนารมณ์ของโอบามา ในเรื่องการปฏิรูประบบสาธารณูปโภคและการรักษาพยาบาลที่ทุกคนเข้าถึงได้ รวมไปถึงการเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนที่มีรายได้ต่ำ เช่น คนงานโรงงานอุตสาหกรรม
สำหรับประโยคเด็ดของ โจ ไบเดน ที่เขาประกาศกร้าวไว้ เช่น
"หากเราปล่อยให้ โดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ในทำเนียบขาวต่อไปอีกเทอมจนครบ 8 ปี แล้วละก็ เขาจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างให้กลับตาลปัตรไปตลอดกาล ทั้งประเทศนี้ และตัวตนของพวกเราชาวอเมริกัน แน่นอนว่าผมจะไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น"
อย่างไรก็ตาม คงจะต้องจับตาดูกันต่อไปว่าอนาคตของสหรัฐฯ จะก้าวไปในทิศทางใด หลังจากที่ โจ ไบเดน เพิ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้ และจะได้กลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของประเทศ ต่อจาก โดนัลด์ ทรัมป์
ขอบคุณข้อมูลจาก New York Times, Britannica, Biography