เปิดภาพปัจจุบัน ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ มีแต่ความเงียบ ไร้ผู้คน หลังถูกสั่งปิดให้บริการเพราะโควิด 19 โซเชียลเศร้าเห็นแล้วหดหู่ใจ

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Wongsiri Panmuk
การแพร่ระบาดของโควิด 19 ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอย่างหนักหนาสาหัส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่อยู่ในภาคการท่องเที่ยว หลายสถานที่ จากสถานที่ที่ไม่เคยหลับไหล มีคนทั้งชาวไทยเองและต่างชาติพลุกพล่านตลอดวัน กลับกลายเป็นความเงียบสงัด ไร้ผู้คน จนต้องปิดให้บริการ
เมื่อวานนี้ (21 กรกฎาคม 2564) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Wongsiri Panmuk ระบุว่า เธอคือพนักงานที่ทำงานภายในท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ได้มีการโพสต์รูปถ่ายภายในสนามบินเชียงใหม่ ที่ต้องปิดให้บริการ เพราะสถานการณ์โควิด 19 ที่ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศไทยตอนนี้
เมื่อวานนี้ (21 กรกฎาคม 2564) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Wongsiri Panmuk ระบุว่า เธอคือพนักงานที่ทำงานภายในท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ได้มีการโพสต์รูปถ่ายภายในสนามบินเชียงใหม่ ที่ต้องปิดให้บริการ เพราะสถานการณ์โควิด 19 ที่ยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศไทยตอนนี้

ภาพจาก Phawat / Shutterstock.com
ทั้งนี้ เธอระบุข้อความว่า เธออยู่นี่มา 6 ปี ตั้งแต่สนามบินล้นจนเกินกำลัง งานยุ่งหัวฟูจนแทบไม่มีเวลากินข้าวหรือเข้าห้องน้ำ มาทำงานต้องมาแย่งที่จอดรถ ผู้โดยสารวันละ 40,000 คน เครื่องบินเข้าจนไม่มีเบย์ให้จอดแล้ว และจนวันที่ไม่มีเที่ยวบิน ไม่มีผู้โดยสารเลย มันแย่กว่าปีที่แล้วอ่ะ มันแย่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเลยนะ"
ทั้งนี้ ในภาพจะเห็นภาพของสนามบินเชียงใหม่ที่ปิดทำการ บริเวณจุดเช็กอินที่พลุกพล่านด้วยผู้คน ปัจจุบันกลายเป็นไม่มีใคร มีไฟเปิด 2-3 ดวง หรือกระทั่งบริเวณเกตก้อนขึ้นเครื่อง จากที่มีคนมาต่อคิวยาวเหยียด เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ แต่ปัจจุบันกลับไม่มีใครเลย

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Wongsiri Panmuk
โดยหลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไปก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่แสดงความเศร้าใจกับเหตุการณ์ตอนนี้อย่างมาก อันเนื่องมาจากการงดเดินทางข้ามจังหวัด และการดำเนินการด้านธุรกิจสายการบินในตอนนี้ก็ไม่คุ้มทุน เที่ยวบินถูกลด จนต้องปิดสนามบินอย่างที่เห็น


ภาพจาก เฟซบุ๊ก Wongsiri Panmuk

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Wongsiri Panmuk

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Wongsiri Panmuk

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Wongsiri Panmuk

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Wongsiri Panmuk

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Wongsiri Panmuk
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Wongsiri Panmuk