กัปตัน อิสรานุอุดม นักยิงปืนทีมชาติไทย ควงแม่แฉสมาคมยิงปืนแหลกเละ ไม่เคยส่งกระสุนฝึกซ้อมมาให้ ต้องขายบ้านขายรถ ซื้อกระสุนซ้อมราคาเป็นล้าน ซ้ำร้ายยังขอเปลี่ยนตัวนักกีฬา แต่เพราะสู้จึงได้มาสานฝันโอลิมปิก 2020
หลังจากที่กัปตัน อิสรานุอุดม ภูริหิรัญพัชร์ นักยิงปืนทีมชาติไทย วัย 17 ปี ลงแข่งขันโอลิมปิก 2020 เป็นคนสุดท้ายในประเภท rapid fire pistol 25 เมตรชาย อย่างไรก็ตาม ผลการแข่งขันรั้งอันดับที่ 20 ไม่ผ่านรอบคัดเลือก หมดโอกาสชิงเหรียญในรอบสุดท้ายไป
ล่าสุด วันที่ 4 สิงหาคม 2564 เดลินิวส์ออนไลน์ รายงานว่า กัปตัน อิสรานุอุดม เปิดเผยว่า ตนพอใจในผลงานครั้งนี้ วันแรกยิงได้ตามเกณฑ์ของตัวเอง แต่วันที่ 2 ยิงไม่ดีเท่าวันแรก เนื่องจากเปลี่ยนช่องยิง ช่องยิงนี้เป็นพื้นลาดยางสูงต่ำต่างกัน อาจจะยืนลำบาก ไม่คุ้นกับสภาพสนาม
นอกจากนี้ กว่าที่ตนจะได้มาแข่ง ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ผู้ใหญ่เคยมีความพยายามขอเปลี่ยนตัวนักกีฬาของตนด้วย ทางตนไม่ยอม เพราะตนใช้งบประมาณของตัวเองในการแข่งขัน ส่วนประเทศอื่นนั้นใช้งบของสมาคม ถ้ามีการเปลี่ยนตัวก็อาจทำได้ไม่มีปัญหา แต่ถึงอย่างไร ถ้าจะมีการประลองเพื่อโควตา ตนมั่นใจว่าจะชนะได้อยู่ดี
ทั้งนี้ ตนเป็นห่วงคุณแม่ที่ต้องไปชนกับปัญหานี้แทนตน ปล่อยให้ตนมีหน้าที่ซ้อมและมุ่งมั่นกับการแข่งขันเพียงอย่างเดียว
แม่เปิดใจ ฉะสมาคมยิงปืนแหลก
ด้านนางพรพักตร์ ภูริหิรัญพัชร์ แม่และผู้ฝึกสอน เปิดเผยว่า ตั้งแต่กัปตันได้โควตามาไม่เคยได้รับการสนับสนุนอะไรเลยจากสมาคม ต้องจ่ายเงินเป็นล้านเพื่อกระสุนซ้อม แถมจะโดนเปลี่ยนตัวคนลงแข่งอีก ซึ่งครอบครัวก็สู้เต็มที่เพื่อให้ลูกชายเดินตามความฝันไปแข่งโอลิมปิกให้ได้
ที่ผ่านมาต้องจ่ายค่ากระสุนซ้อมนัดละ 10 บาท วันละ 3,000 บาท ยอดรวมก็ประมาณ 1.7 ล้านบาท เคยสอบถามไปยังการกีฬาแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า ส่งกระสุนให้สมาคมยิงปืนแล้ว เราจึงไปเรียกร้องกับสมาคมยิงปืน เขาไม่ให้ นักกีฬาคนอื่นก็ไม่ได้ เพิ่งมาได้กระสุนวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งตรงนี้เราก็ไม่ได้เพราะเราฝึกซ้อมที่ จ.นครราชสีมา
นอกจากเรื่องกระสุนแล้ว เรื่องพยายามเปลี่ยนตัวก็โดน คนอื่นอาจจะยอม แต่เราไม่ยอม เราต้องฝึกซ้อมเอง แม่ก็ต้องทำเรื่องขอเป็นโค้ช เพื่อจะได้เดินทางมาดูแลลูก ต้องไปร้องเรียน กกท. โอลิมปิกเพื่อให้ได้สิทธิ์ ต้องไปดีลกับโค้ชต่างชาติให้มาสอนลูก ชั่วโมงละเป็นหมื่น สอนออนไลน์หลายเดือน เพราะเราเองก็ไม่เคยได้รับการสนับสนุนตรงนี้เลย เมื่อไม่ดูแลกันก็ไม่เป็นไร เราจะขอสู้เอง ขอแค่ไม่ปิดโอกาสนักกีฬากันก็พอ
ขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์ออนไลน์