สรุปประเด็น #saveจะนะ ชาวจะนะ เดินทางไกลจากสงขลา ทวงสัญญาจากรัฐบาล หลังเคยรับปากจะยกเลิกโครงการเมืองต้นแบบ สร้างนิคมอุตสาหกรรมจะนะ และศึกษาผลกระทบของสิ่งแวดล้อม ผ่านมาเป็นปียังไร้วี่แวว จนต้องมาชุมนุม ม็อบ 6 ธันวา สังคมตั้งคำถามทำไม คฝ. ต้องสลายชุมนุม
วันที่ 7 ธันวาคม 2564 สังคมกำลังให้ความสนใจอย่างมากจนติดเทรนด์ทวิตเตอร์ แฮชแท็ก #Saveจะนะ เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา (6 ธันวาคม 2564) เกิดเหตุการณ์ที่ตำรวจควบคุมฝูงชนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มชาวบ้านเครือข่าย "จะนะรักษ์ถิ่น" ที่เดินทางมาไกลจาก จ.สงขลา เพื่อมาชุมนุมที่ข้างทำเนียบรัฐบาล การชุมนุมมีต่อเนื่องหลายวัน เพื่อทวงสัญญาที่รัฐบาลบอกว่าจะหยุดการแก้ไขผังเมืองและหยุดโครงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมใน อ.จะนะ
ทั้งนี้ ภาพการสลายชุมนุมที่เกิดขึ้นนั้นหลายฝ่ายต่างรับไม่ได้ และตั้งคำถามว่าทำไมต้องสลายการชุมนุม เนื่องจากกลุ่มชาวบ้านที่มาปักหลักอยู่บริเวณทางเข้าทำเนียบรัฐบาล เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ มาชุมนุมอย่างสันติ แต่กลับนำกำลังเจ้าหน้าที่กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (อคฝ.) จำนวน 1 กองร้อย พร้อมรถควบคุมผู้ต้องหา เข้าสลายการชุมนุม
โดยผู้ชุมนุมมีการโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่ประมาณ 10 นาที แต่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรง แต่มีผู้ชุมนุมจำนวนประมาณ 36 คน ถูกจับขึ้นรถไปควบคุมตัวที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต
ระหว่างการสลายชุมนุม เจ้าหน้าที่กั้นสื่อมวลชนไม่ให้ถ่ายรูประหว่างปฏิบัติการ โดยมีการตั้งแถวกั้นสื่อมวลชนและใช้ไฟฉายหรือแฟลชจากโทรศัพท์มือถือส่องมาที่สื่อมวลชน ทำให้ไม่สามารถเก็บภาพได้
มาถึงตรงนี้.. หลายคนทราบว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง แต่ไม่ทราบที่มาที่ไปว่าทำไมเดินทางมาถึงจุดนี้ กลุ่มเครือข่าย จะนะรักษ์ถิ่น เกิดขึ้นเพราะอะไร ไปติดตามรายละเอียดกันเลย !!
รู้จัก อ.จะนะ จ.สงขลา
จะนะ เป็นอำเภอหนึ่งของ จ.สงขลา มีสัดส่วนประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามจำนวนมาก มีความอุดมสมบูรณ์จากระบบนิเวศทั้งทางทะเลและทางบก โดยงานวิจัยของ สกว. ระบุว่า ฐานทรัพยากรทางทะเลในพื้นที่ อ.จะนะ มีมูลค่า 19 ล้านบาทต่อเดือน
จุดเริ่มต้น โครงการเมืองต้นแบบของรัฐบาล คสช.
ในปี 2558 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งใจยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาหลัก ๆ ได้แก่ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ได้ประกาศในปี 2558 และพื้นที่โครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ที่มีมติตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2559 โดยมีแผนพัฒนา 3 เมืองหลัก ได้แก่
1. อ.หนองจิก จ.ปัตตานี สามารถร่วมในการลงทุนและพัฒนาระหว่างไทยกับมาเลเซียได้ในอนาคต ภาคการท่องเที่ยวครอบคลุม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมไปถึง จ.สงขลาและสตูล
2. อ.เบตง จ.ยะลา เป็นเมืองต้นแบบนำร่องที่มีการพัฒนาการท่องเที่ยว
3. อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส สร้างความก้าวหน้าเมืองการค้าชายแดนระหว่างประเทศไทย-มาเลเซีย ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาความร่วมมือร่วมกันอย่างแน่นอน
มาเหนือเมฆ อ.จะนะ โผล่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
จากเดิมที่มี 3 เมือง ในแผนของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ปี 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ อ.จะนะ จ.สงขลา เป็นเมืองที่ 4 เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต ทั้งที่ไม่มีแผนในโครงการมาก่อน
โครงการดังกล่าวจะมีทั้งอุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมเบา ท่าเรือน้ำลึก เป็นต้น โดยมีศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นผู้ดำเนินการ แต่ก็เกิดปัญหาการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากมติดังกล่าวปราศจากการศึกษาผลประโยชน์ ต้นทุนทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้อง ตลอดจนกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่น
สำหรับผลประโยชน์ของโครงการ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ชี้แจงว่า นิคมอุตสาหกรรมจะนะ จะเกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมรายใหญ่ประมาณ 50 ราย และจะทำให้เกิดการจ้างงานโดยตรงประมาณ 25,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะทำให้คนในพื้นที่มีงานทำ
ขณะที่ประชาชนต่างตั้งคำถามว่า ทักษะคนสงขลาส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตรและการประมง ทำให้หลายคนมองไม่ออกว่าคนในท้องถิ่นจะยกไปผลิตกังหันลม ผลิตหัวรถจักร หรือทำงานท่าเรือน้ำลึกได้อย่างไร
การแก้ไขผังเมือง จ.สงขลา ลดพื้นที่สีเขียว
จากเดิมที่ จ.สงขลา เป็นพื้นที่สีเขียว ซึ่งเป็นพื้นที่สงวนไว้สำหรับการทำเกษตรกรรม ซึ่งหากในอนาคตจะมีการสร้างอุตสาหกรรมต้องมีการเปลี่ยนผังเมือง โดยต้องเปลี่ยนจากผังสีเขียวเป็นสีม่วง สำหรับพื้นที่อุตสาหกรรม นำมาซึ่งการตั้งคำถามว่า ศอ.บต. จะใช้อำนาจใดในการเปลี่ยนแปลงผังเมือง เนื่องจากการกระทำดังกล่าวขัดกฎหมายผังเมือง
รัฐบาลสัญญาว่าจะหยุดโครงการไว้ก่อน
โครงการดังกล่าวทำให้ประชาชนในพื้นที่กังวลใจอย่างมาก ท่ามกลางการคัดค้านของภาคประชาชน ต่อมาเกิดบันทึกข้อตกลงระหว่างประชาชนในพื้นที่กับทางรัฐบาล
โดยในวันที่ 14 ธันวาคม 2563 ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ตำแหน่งขณะนั้นคือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายประสาน หวังรัตนปราณี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายจาก พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการเจรจากับชาวจะนะ โดยมีข้อยุติร่วมกัน 2 ประเด็นใหญ่ ได้แก่...
1. รัฐบาลต้องมีมติยกเลิกโครงการต้นแบบอุตสาหกรรมจะนะ ทุกฉบับ และการแก้ไขผังเมือง รวมถึงต้องมีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในทันที
2. รัฐบาลจะจัดให้มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม หรือ SEA (Strategic Environmental Assessment) ซึ่งต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล
รัฐบาลไร้วี่แววการทำตามสัญญา
เวลาล่วงเลยมา 1 ปี แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เรื่องการศึกษาและประเมินผลกระทบในพื้นที่ อ.จะนะ กระทั่งวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ชาวจะนะได้ส่ง ไครียะห์ ระหมันยะ อายุ 19 ปี หรือสมญานามว่า "ลูกสาวแห่งท้องทะเลจะนะ" มายื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ผ่านมา น้องไครียะห์ก็เคยมายื่นเรื่องดังกล่าวถึงรัฐสภาหลายครั้ง แต่ไม่มีการตอบรับใด ๆ
ม็อบ 6 ธันวา ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล
วันที่ 6 ธันวาคม 2564 กลุ่มเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น จ.สงขลา เดินทางมาทวงถามความคืบหน้าและสัญญาที่ให้ไว้ โดยได้ปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ช่วงเย็น และมีมวลชนประมาณ 40 คน ประกาศค้างคืน และปิดทางเข้าทำเนียบ มีการตั้งเต็นท์ ขนข้าวของเครื่องใช้และเครื่องนอนมาวางอยู่เต็มพื้นที่ คาดว่าจะอยู่กินนอนหลายวัน จนกว่าจะได้ข้อเรียกร้องที่พอใจจากการเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโครงการจะนะ
สลายการชุมนุม
ม็อบ 6 ธันวา เวลา 19.30 น. ตำรวจเริ่มปิดการจราจร และเจรจากับตัวแทนขอให้ย้ายพื้นที่ชุมนุม แต่ชาวบ้านยืนยันว่าไม่ย้าย กระทั่งเวลาประมาณ 21.00 น. ตำรวจตั้งแถวยืนกั้นไม่ให้ผู้สื่อข่าวและคนที่จะมาสมทบเข้าไปรวมกับผู้ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล พร้อมประกาศให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ และให้สื่อไปยืนบริเวณทางเท้าฝั่งตรงข้าม
ต่อมา ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน (คฝ.) ประมาณ 100 นาย เดินแถวออกมาจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และยืนตั้งแถวปิดถนนหน้าอาคาร ก.พ.ร. และในเวลาเดียวกัน ไฟบนถนนพิษณุโลกดับลง ทำให้บริเวณที่สื่อมวลชนยืนอยู่ค่อนข้างมืด แทบมองไม่เห็นว่าผู้ชุมนุมกำลังทำอะไร
จากนั้นเวลา 21.18 น. รถผู้ต้องขัง 2 คัน เข้ามาจอดหน้าเต็นท์ผู้ชุมนุม สื่อมวลชนพยายามถ่ายภาพ แต่ตำรวจหลายนายที่ยืนอยู่ด้านหลังถือไฟฉายอย่างน้อย 5 กระบอก ส่องไฟวูบวาบจนไม่สามารถถ่ายภาพได้
กระบวนการจับกุมใช้เวลาไม่นาน ผู้ชุมนุมถูกจับกุมไปทั้งหมด 36 คน เป็นผู้หญิง 31 คน และเป็นผู้ชาย 5 คน ไปยังสโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต
อย่างไรก็ตาม สังคมต่างตั้งคำถามถึงเหตุผลที่ต้องสลายการชุมนุม เนื่องจากผู้ชุมนุมดำเนินการอย่างสันติ อีกทั้งเป็นการเรียกร้องเพื่อสิ่งแวดล้มของคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติของไทยที่ควรอนุรักษ์และหวงแหน