สาวซื้อคอนโดทิ้งไว้เป็น 10 ปี แต่มีคนอื่นมาอยู่ พอตั้งกระทู้ถามกลับโดนทัวร์ลงเอง งานนี้โดนจัดหนักซะงั้น ทั้งที่ตั้งคำถามเพราะต้องการความช่วยเหลือ
ภาพจาก smilepoker / Shutterstock.com
ต่อมาไม่นาน เธอมีโอกาสไปดูห้องของเธอ กลับพบว่า ห้องนี้มีคนอื่นเข้ามาอยู่ไปแล้ว จึงอยากถามว่า เป็นแบบนี้ทำยังไงได้บ้าง และห้องนั้นมันจะเป็นของใคร ระหว่างเธอหรือคนที่มาอยู่อาศัย
คนที่อ่านเรื่องนี้ ต่างสงสัยว่า เจ้าของกระทู้มีอะไรที่สำคัญมากขนาดนั้น จนไม่สามารถไปดูห้องได้เป็นเวลาถึง 10 ปี ขณะเดียวกัน บางคนก็ตำหนิเจ้าของกระทู้ว่า ไร้เดียงสา เรื่องแค่นี้ไม่ควรตั้งกระทู้ถามด้วยซ้ำ ควรแก้ปัญหาด้วยการติดต่อนิติคอนโด หรือไม่ก็เอาหลักฐานที่ซื้อไปยืนยันก็ได้ และตอนนี้ชื่อในห้องนั้นเป็นของใคร
นอกจากนี้ ความผิดปกติที่ชาวเน็ตตั้งข้อสงสัยอีกหลายจุดก็คือ เช่น แล้วคนอื่นเข้ามาอยู่ได้ยังไง หรือว่าเจ้าของกระทู้จำห้องผิด หรือไม่เจ้าของกระทู้ไม่ยอมจ่ายค่าส่วนกลาง เลยทำให้ห้องโดนยึดไปก็เป็นได้ หรืออาจจะมีการฟอกเงิน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชาวเน็ตจะตั้งคำถามยังไง เจ้าของกระทู้ก็ยังเงียบฉี่ ไม่มาตอบเลย จนคนเริ่มตามหาคนหายในกระทู้แทน ตอบช้าแบบนี้ เป็นเรื่องจ้อจี้หรือเปล่า
เจ้าของกระทู้โผล่มาแล้ว อธิบายเพิ่ม
ต่อมา เจ้าของกระทู้ได้เข้ามาตอบคำถาม หลังจากที่ผ่านไปเกือบ 30 ชั่วโมง โดยเธออธิบายเพิ่มว่า เธอเพิ่งตั้งกระทู้ไปแค่วันเดียว แต่กลับโดนกล่าวหาว่าเจ้าของกระทู้หาย นอกจากนี้ เมื่ออ่านคอมเมนต์แต่ละคน มีแต่ความรุนแรง ทำให้เสียใจว่า ไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือเปล่า ทั้งที่ความจริงเธอแค่ตั้งกระทู้ถาม หวังได้คำตอบเท่านั้น
จากนั้น เจ้าของกระทู้ก็อธิบายเป็นข้อ ๆ เกี่ยวกับปมคาใจของชาวเน็ตทีละเรื่อง
เรื่องแรกคือ ทำไมเธอถึงไม่มาดูคอนโดเลยตลอด 10 ปี นั่นเป็นเพราะว่า คุณแม่เธอป่วยติดเตียง เธอเป็นลูกคนเดียวที่ต้องดูแล ไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้เลย กระทั่งไม่นานมานี้ แม่เธอเสียชีวิตแล้ว เธอจึงมีโอกาสมาดูคอนโดอีกครั้ง ก่อนที่จะพบว่า มีคนอื่นมาอยู่ไปแล้ว
สาเหตุที่ตั้งกระทู้ถามเพราะว่า มีคนเคยบอกว่า ถ้ามีคนอยู่เกิน 10 ปี ห้องนั้นจะเป็นของคนที่มาอยู่ไปโดยปริยาย หรือเรียกว่า กฏหมายการครอบครองโดยปรปักษ์ ซึ่งเธอเองก็ไม่แม่นเรื่องนี้ จึงเกิดความสงสัยว่า ตอนนี้ห้องของเธอจะเป็นของเธอหรือเป็นของคนมาอยู่กันแน่
เรื่องหลักฐานการซื้อ เธอมีหลักฐานทุกอย่าง จ่ายครบ ไม่มีการฟอกเงินแน่นอน
อยากถามชาวเน็ตที่มาหัวเราะเยาะหรือด่าทอว่า แต่ละคนเขามีเหตุผลของเขา ควรจะเคารพและให้เกียรติคนอื่นด้วย อย่าเห็นเป็นเรื่องตลก เธอรู้ว่า บางคนที่มาหัวเราะเยาะ ก็ไม่รู้กฎหมายเหมือนกัน ดันมาบอกว่า เป็นคำถามที่ไม่น่าถาม หาว่าโง่ ถ้ากลับกันคุณเจอเรื่องแบบเราบ้าง จะทำยังไง แต่ถึงอย่างไรก็ขอขอบคุณคนที่มาแนะนำดี ๆ เช่นกัน
ชี้แจงอีกที ก็โดนจัดหนักอีกรอบ
สำหรับเรื่องที่ว่า ทำไมเธอไม่ยอมถามคนที่มาอยู่หรือถามนิติคอนโด เหตุผลคือ พ่อเป็นห่วงลูก เตือนเอาไว้ว่า ถ้าไปทวงตรง ๆ ทำให้เขาไม่พอใจ ระวังถูกทำร้ายนะ ทั้งที่ใจเธอเองก็อยากจะฟาดให้มันจบ ๆ ดังนั้น จึงตัดสินใจตั้งกระทู้ดีกว่า
ทำให้เจ้าของกระทู้โดนชาวเน็ตจัดหนักอีกรอบว่า อ่อนแอจริง ๆ ขี้เกรงใจเหลือเกิน แต่ไม่คิดคำนึงถึงความถูกต้องหรือสิทธิตัวเอง แนะนำว่าให้หาคนที่ไว้ใจได้ที่มีความคิดและเข้มแข็งกว่านี้มาช่วยในการตามเรื่องนี้ เพราะแค่จุดเริ่มต้นก็ไม่น่าจะสู้ใครเขาได้แล้ว บางความเห็นอาจจะพูดตรงและดูแรง แต่มันคือความจริง ทุกคนในเว็บมีหน้าที่ให้คำปรึกษา แต่ตัวคุณเองต้องเป็นคนแก้ปัญหานี้ ถึงยังไงก็ต้องมีเรื่องอยู่ดี ไม่ต้องกลัว
ส่วนอีกความเห็นทำนองหนึ่ง ก็มองว่า ถ้าเรื่องนี้คือเรื่องจริง คอนโดก็อาจจะมีลับลมคมในแอบเอาห้องไปปล่อยเช่าเอง ซึ่งกรณีแบบนี้ก็เคยเกิดมาแล้ว ส่วนวิธีแก้ปัญหาคือ แจ้งความบุกรุกโดยเก็บรวบรวมหลักฐาน ไปสืบหาที่มาของเรื่องว่า ที่แท้เรื่องนี้มันเป็นยังไงแน่ เพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ใช่แค่ลงบันทึกประจำวัน แต่ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ ต้องใช้แผน 2 คือ ฟ้องขับไล่แทน
อีกความเห็นหนึ่ง ระบุชัดเจนว่า เรื่องการซื้อคอนโด มันเป็นโฉนด ทิ้งไว้กี่ปีก็ได้ ฉะนั้นกฎหมายการครอบครองโดยปรปักษ์ ไม่มีผล คนที่มาอยู่คือผู้บุกรุก ต้องไปแจ้งความไล่ออกจากพื้นที่ ถ้าไม่ออกก็ต้องฟ้องให้ออก ซึ่งคำตอบนี้ทำให้เจ้าของกระทู้รู้สึกได้รับการชี้ทางสว่างอย่างชัดเจน
ถึงแม้ส่วนใหญ่เจ้าของกระทู้จะโดนจัดหนัก แต่ก็มีคนคอมเมนต์ในเชิงตรงข้าม ให้กำลังใจเหมือนกันว่า เรื่องการไม่ไปดูห้อง มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ปัญหาคือ คนเข้าไปอยู่ เข้าไปได้ยังไง แล้วทรัพย์สินในห้องที่ถูกใช้ไปแล้ว จะทำยังไง เรื่องนี้ต้องปรึกษาทนายด่วน พร้อมกันนั้น คอมเมนต์นี้ยังยกตัวอย่างเพื่อนตัวเองที่ซื้อตึกแถวหลาย ๆ ที่ แต่ก็ไม่เคยไปดูเหมือนกัน บางทีก็ลืมไปแล้วว่าเคยซื้อ ฉะนั้น ประเด็นนี้สำคัญที่สุดคือ "ทำไมมีคนเข้าไปอยู่ได้ ไม่ใช่ทำไมไม่ไปดู"
ภาพจาก smilepoker / Shutterstock.com
