แม่ชาวญี่ปุ่นอยากมีลูก หาผู้บริจาคสเปิร์มทางโซเชียล นอนด้วย 10 ครั้ง จนตั้งครรภ์สำเร็จ สุดท้ายคลอดออกมาก็ทิ้ง เพราะรู้ความจริงที่ทำเอาช็อกตาตั้ง เด็กซวยเลยทีนี้
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2565 เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานว่า หญิงชาวญี่ปุ่นรายหนึ่งวัย 30 ปี จากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โกรธแค้นและเดินหน้าฟ้องร้องชายผู้บริจาคอสุจิรายหนึ่ง ภายหลังจากรู้ความจริงช็อก โดนโกหกทุกอย่าง ตั้งแต่เชื้อชาติว่าจริง ๆ ชายคนนี้ไม่ใช่คนญี่ปุ่น การศึกษา และสถานะการสมรส จนถึงขนาดไม่ต้องการที่จะเก็บลูกไว้ ยอมยกให้คนอื่น
ตามรายของเว็บไซต์โตเกียวชิมบุน เผยว่า หญิงรายนี้แต่งงานแล้วกับสามีของเธอ ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 1 คน ต่อมา ตัวเธออยากมีลูกเพิ่มอีกคน แต่ทางสามีของเธอเป็นพาหะของโรคทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ เธอจึงต้องพึ่งพาผู้บริจาคอสุจิ
ในปี 2562
เธอได้เจอกับผู้บริจาคเชื้ออสุจิรายหนึ่งในโซเชียลมีเดีย
เป็นชายหนุ่มอายุอยู่ในช่วงประมาณ 20 ปี ภายหลังจากสอบถามข้อมูล เขาอ้างว่า
เป็นคนญี่ปุ่นแต่กำเนิด จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกียวโต และเป็นโสด
ยังไม่ผ่านการแต่งงาน เมื่อพอใจในคุณสมบัติดังกล่าว
เธอจึงตกลงที่จะมีลูกกับเขา
หญิงสาวหลับนอนกับหนุ่มผู้บริจาคอสุจิรายนี้รวมถึง 10 ครั้ง กระทั่งตั้งครรภ์สำเร็จ ในเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เธอก็รู้ความจริงว่า เขาโกหกข้อมูลทั้งหมด แท้จริงแล้ว เขาเป็นคนจีนที่ผ่านการแต่งงานแล้ว ซ้ำยังไม่เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยใดในญี่ปุ่นเลย
หญิงสาวช็อกมาก ทั้งโกรธและแค้น ส่วนทารกในท้องก็อายุครรภ์เกินกว่าที่จะสามารถเข้ารับการทำแท้งได้ เมื่อครบกำหนดให้กำเนิดทารกออกมา สุดท้ายเธอและสามีก็ปฏิเสธไม่รับเลี้ยง และตัดสินใจบริจาคให้ครอบครัวอุปถัมภ์รายอื่นไปในที่สุด
หลังจากนั้นหญิงสาวและสามีก็เดินหน้าฟ้องร้องชายผู้บริจาคอสุจิรายดังกล่าว โดยชี้ว่าเป็นการฉ้อโกงหลอกลวง อันส่งผลให้หญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อ ได้รับความทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และจำเป็นต้องทอดทิ้งลูก โดยเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 330 ล้านเยน หรือประมาณ 95 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ทางด้าน มิซุโฮะ ซาซากิ เจ้าหน้าที่สวัสดิการเด็กในญี่ปุ่น ได้กล่าวประณามหญิงรายนี้ ระบุว่า "การกระทำของเธอตื้นเขินเกินไป เธอปฏิบัติกับลูกราวกับเป็นสิ่งของ หากเป็นเช่นนี้แล้ว ก็อาจจะจะดีกว่าสำหรับเด็กที่จะได้ไปอยู่ในความดูแลของคนที่สามารถเป็นพ่อแม่บุญธรรมที่ดีได้"
ในประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าการบริจาคอสุจิจะถูกกฎหมาย แต่ส่วนใหญ่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมและข้อจำกัดเฉพาะหลายประการ ดังนั้นคู่รักหลายคนจึงพยายามไปค้นหาใช้บริการผู้บริจาคอสุจิตามโซเชียลมีเดีย แม้ว่าจะเสี่ยงทั้งด้านความปลอดภัย รวมไปถึงด้านกฎหมายก็ตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก dailymail.co.uk, nypost.com, tokyo-np.co.jp
ตามรายของเว็บไซต์โตเกียวชิมบุน เผยว่า หญิงรายนี้แต่งงานแล้วกับสามีของเธอ ทั้งสองมีลูกด้วยกัน 1 คน ต่อมา ตัวเธออยากมีลูกเพิ่มอีกคน แต่ทางสามีของเธอเป็นพาหะของโรคทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ เธอจึงต้องพึ่งพาผู้บริจาคอสุจิ
หญิงสาวหลับนอนกับหนุ่มผู้บริจาคอสุจิรายนี้รวมถึง 10 ครั้ง กระทั่งตั้งครรภ์สำเร็จ ในเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เธอก็รู้ความจริงว่า เขาโกหกข้อมูลทั้งหมด แท้จริงแล้ว เขาเป็นคนจีนที่ผ่านการแต่งงานแล้ว ซ้ำยังไม่เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยใดในญี่ปุ่นเลย
หญิงสาวช็อกมาก ทั้งโกรธและแค้น ส่วนทารกในท้องก็อายุครรภ์เกินกว่าที่จะสามารถเข้ารับการทำแท้งได้ เมื่อครบกำหนดให้กำเนิดทารกออกมา สุดท้ายเธอและสามีก็ปฏิเสธไม่รับเลี้ยง และตัดสินใจบริจาคให้ครอบครัวอุปถัมภ์รายอื่นไปในที่สุด
หลังจากนั้นหญิงสาวและสามีก็เดินหน้าฟ้องร้องชายผู้บริจาคอสุจิรายดังกล่าว โดยชี้ว่าเป็นการฉ้อโกงหลอกลวง อันส่งผลให้หญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อ ได้รับความทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และจำเป็นต้องทอดทิ้งลูก โดยเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 330 ล้านเยน หรือประมาณ 95 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ทางด้าน มิซุโฮะ ซาซากิ เจ้าหน้าที่สวัสดิการเด็กในญี่ปุ่น ได้กล่าวประณามหญิงรายนี้ ระบุว่า "การกระทำของเธอตื้นเขินเกินไป เธอปฏิบัติกับลูกราวกับเป็นสิ่งของ หากเป็นเช่นนี้แล้ว ก็อาจจะจะดีกว่าสำหรับเด็กที่จะได้ไปอยู่ในความดูแลของคนที่สามารถเป็นพ่อแม่บุญธรรมที่ดีได้"
ในประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าการบริจาคอสุจิจะถูกกฎหมาย แต่ส่วนใหญ่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมและข้อจำกัดเฉพาะหลายประการ ดังนั้นคู่รักหลายคนจึงพยายามไปค้นหาใช้บริการผู้บริจาคอสุจิตามโซเชียลมีเดีย แม้ว่าจะเสี่ยงทั้งด้านความปลอดภัย รวมไปถึงด้านกฎหมายก็ตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก dailymail.co.uk, nypost.com, tokyo-np.co.jp