แม่ลูกสามคลั่งรัก หอบลูก 3 คนไปอยู่กับผู้ชาย หลังเจอออนไลน์ได้ 1 เดือน เชื่อใจเพราะให้เงินล้าน เขาเป็นคนจิตใจดี
ภาพจาก Miaowen
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 เว็บไซต์เอเชียวัน เผยเรื่องราวไวรัลจากจีนที่เป็นกระแสเมื่อเร็ว ๆ นี้ กรณีแม่ลูกสามวัย 32 ปี พบรักทางออนไลน์กับชายต่างถิ่น หลังจากรู้จักกันได้เพียงแค่เดือนเดียวก็หอบลูก ๆ ทั้ง 3 คน ไปอยู่กับเขา โดยเชื่อว่าเป็นรักแท้จริงใจ จุดประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงอย่างดุเดือดบนโซเชียลมีเดีย
ตามรายงานเผยว่า แม่วัยสาวรายนี้อาศัยอยู่ในมณฑลหูหนาน ทางตอนกลางของประเทศจีน เธอเผยว่า เธอตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลฝูเจี้ยน ทางใต้ของจีน แม้ว่าจะเจอกันจากทางออนไลน์ แต่เธอก็เชื่อว่าเขาจิตใจดีกับเธออย่างแท้จริง
"ตอนที่ชีวิตฉันถึงจุดตกต่ำที่สุด เขาให้เงินฉัน 200,000 หยวน (ราว 1 ล้านบาท) เพื่อช่วยฉัน" แม่วัยสาว กล่าว ส่วนเหตุผลที่เธอตัดสินใจย้ายไปอยู่กับเขาเพราะ "เขาให้สัญญาว่าจะเลี้ยงดูลูก ๆ ของฉันเหมือนลูกของเขาเอง"
ภาพจาก Miaowen
โดยเรื่องราวของเธอถูกเผยแพร่ผ่านการอัปโหลดคอนเทนต์ทางแพลตฟอร์มวิดีโอ Miaowen ของจีน ซึ่งแสดงให้เห็นกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ภายหลังจากที่เธอตัดสินใจหอบลูก ๆ ย้ายไปอยู่กับเขา พวกเขาพากันไปช้อปปิ้งซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เกต และพาลูก ๆ ไปเที่ยวเล่น
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเรื่องราวของแม่ลูกสามรายนี้ถูกแชร์ต่อกันออกไป ก็ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว มีผู้เข้าไปชมคลิปวิดีโอของเธอมากกว่า 3.5 ล้านครั้ง และคอมเมนต์อีกราว 1,200 คอมเมนต์ เป็นความคิดเห็นที่หลากหลาย ส่วนหนึ่งชื่นชมให้รักของทั้งสอง เชื่อว่าเป็นพรหมลิขิต แต่อีกส่วนก็สงสัยในความสัมพันธ์ครั้งนี้
ภาพจาก Miaowen
"หวังว่าพวกเขาจะเป็นคนที่ใช่สำหรับกันและกัน"
"พวกเขาทำให้ฉันเชื่อในรักแท้อีกครั้ง"
"ระวังตัวไว้ด้วยก็ดี อาจจะเป็นรักลวง"
"เธอมีอิสระที่จะรัก แต่อย่าชะล่าใจ และปกป้องลูก ๆ ของเธอให้ดี"
ทั้งนี้ทั้งนั้น รายงานระบุว่า ปัญหาการหลอกลวงรักทางออนไลน์กลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศจีน และแต่ละกรณีก็ยิ่งเพิ่มความเหนือชั้นมากขึ้น ในเดือนที่ผ่านมา มีชายคนหนึ่งทางตอนเหนือของจีน ได้ขอความช่วยเหลือจากตำรวจท้องที่ ภายหลังจากพบว่า ถูกสาวรายหนึ่งหลอกรักทางออนไลน์ จนให้เงินเธอไปกว่าล้านหยวน ก่อนที่จะรู้ความจริงว่าเธอคือแฟนเก่าของเขาเอง
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก AsiaOne, South China Morning Post
