เชิญตัวหยู ซิน ฉี ไปสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หลังโดนแฉ มีพฤติกรรมอ้างเบื้องสูง หลอกคนจีน ขยายเครือข่ายทุนจีนสีเทา ชี้ เป็นคนละเครือข่ายกับตู้ห่าว และเชื่อว่ามีคนไทยหนุนหลัง
จากกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล อภิปรายเปิดโปงนายหยู ซิน ฉี หัวหน้าสมาคมเถื่อน โรงเรียนเก๊ แอบอ้างเบื้องสูงหากิน หลอกลวงคนจีนเข้ามาในประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องการสนิทชิดเชื้อกับผู้ใหญ่ในวงการต่าง ๆ รวมถึงพระสงฆ์ก็ไม่เว้น เพื่อสร้างเครดิตแก่ตัวเอง ส่งผลให้อิทธิฤทธิ์ของทุนจีนสีเทาลุกลามไปหลายพื้นที่
ขณะที่เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็มีการโพสต์แฉที่อยู่ของนายหยู ซิน ฉี เพื่อชี้เป้าให้ตำรวจไปจับกุมตัวก่อนที่จะหลบหนีนั้น
ล่าสุด วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 สปริงนิวส์ รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองกับเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง เข้าเชิญตัวนายหยู ซิน ฉี จากบ้านพักไปสอบถามข้อมูลที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งนายหยู ซิน ฉีก็ให้ความร่วมมือ ขึ้นรถของตำรวจแต่โดยดี
ส่วนการตรวจค้นบ้านพัก ยังรอศาลอนุมัติหมายค้น เพื่อนำแสดงก่อนตรวจค้นภายในบ้าน ทั้งนี้ บ้านของนายหยู ซิน ฉี เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น อยู่ในเนื้อที่ขนาด 80 ตารางวาในหมู่บ้านแห่งหนึ่งบนถนนจตุโชติ ย่านวัชรพล-วงแหวน
เบื้องต้น ตรวจสอบพบว่า บ้านหลังนี้นายหยู ซิน ฉี อยู่เพียงลำพัง ยังไม่ชัวร์ว่าจะใช้เป็นที่ตั้งสมาคมหรือไม่ ส่วนเรื่องความผิดแยกเป็น 2 คดี คือ การจัดตั้งสมาคมโดยไม่มีใบอนุญาต เป็นหน้าที่ของกรมการปกครองที่จะต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจ สน.คันนายาว เจ้าของพื้นที่ ส่วนเรื่องตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนการสอบถามข้อมูลจากเจ้าตัว และรอผลการตรวจสอบบ้านพัก เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานพิจารณาความผิด
เชื่อ หยู ซิน ฉี มีคนไทยสนับสนุน แต่ไม่รู้ใหญ่แค่ไหน
ช่อง 3 รายงานว่า พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การที่นายหยู ซิน ฉี มีบทบาทในประเทศไทย จะต้องมีคนไทยให้การสนับสนุน แต่จะเป็นคนระดับไหนต้องรอการสืบสวนสอบสวนอีกครั้ง แต่ยืนยันว่า เครือข่ายนี้คนละเครือข่ายกับตู้ห่าว
ส่วนขั้นตอนการควบคุมตัว ตำรวจจะส่งไปดำเนินคดีที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินคดีความผิดที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จากนั้นจะขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ พร้อมผลักดันไปยังประเทศต้นทาง
ขณะเดียวกัน นอกเหนือจากนายหยู ซิน ฉี แล้ว ยังมีมูลนิธิหรือสมาคมฯ ที่ต้องสงสัยว่า อาจจัดตั้งไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับอนุญาตมากกว่า 1 พันแห่งทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดให้ตรวจสอบอย่างเร่งด่วนแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก สปริงนิวส์, ช่อง 3
