ซื้อบ้านเอาไว้ 30 ปีที่แล้วไม่ได้อยู่ กลับมาอีกทีเจอคนตั้งร้าน รู้ตัวคนทำใกล้ตัวกว่าที่คิด

          นายซัน หลานชาย จึงเอารูปจากกูเกิล แม็ป มาให้ดู พบว่าไม่เหมือนบ้านที่เคยซื้อเอาไว้ เพราะมีหลังคา มีแต่ต้นไม้ มีต้นกล้วยอยู่หน้าบ้าน ดังนั้นจึงให้นายซันไปดูในพื้นที่จริง พบว่าบ้านมีการต่อเติมจนทุกอย่างเปลี่ยน แทบจำไม่ได้ว่าเป็นบ้านตัวเอง งานนี้น้างงมากว่าคนทำเป็นใคร ทำไมถึงทำกันได้
          ผลสุดท้ายก็รู้ว่าคนที่ยึดบ้านไปคือ บ้านหลังข้าง ๆ ที่อยู่ติดกันด้านขวามือ มีซอยเล็ก ๆ ซอยหนึ่งกั้นเอาไว้ แถมมีทำหลังคาเชื่อมด้านหลังระหว่างบ้านทั้งสองอีกด้วย ส่วนบ้านของชายคนดังกล่าวก็มีโต๊ะกินข้าวจัดเรียงไว้หลายตัว

          ด้านคู่กรณียืนยันว่าจะย้ายออก แต่ขอค่ารีโนเวทบ้าน ซึ่งทางเจ้าของบ้านก็ไม่ยินยอม เพราะไม่ได้ขอให้รีโนเวทอะไรเลย

          ส่วน ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ กล่าวว่า คดีนี้เข้าข่ายการบุกรุก ลักทรัพย์ และเสียทรัพย์ ถือว่าผิดกฎหมาย จะแอบอ้างไม่ได้ หลังจากนี้ต้องคุยกับเจ้าของบ้านว่าจะทำยังไงต่อ และคดีนี้ก็ยังไม่ขาดอายุความ เพราะเริ่มตั้งแต่ปี 2560

ผู้ถูกกล่าวหา เปิดใจกลับ เล่าในมุมตัวเอง

          คุณนุ ผู้ถูกกล่าวหา เปิดเผยว่า ตนซื้อบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามราว 15 ปี และบ้านหลังนี้ก็ไม่มีใครอยู่ ตนพยายามหาตัวเจ้าของบ้านมาโดยตลอด เพราะอยากจะซื้อทำเป็นสำนักงาน ไปตามหาเจ้าของถึงบ้านตามทะเบียนบ้านก็ไม่เจอ กระทั่งบ้านหลังนี้เริ่มมีต้นกล้วย ต้นไทร ผุดขึ้นมา หลังบ้านก็เป็นป่า บางวันก็มีงูตายในบ้านส่งกลิ่นเหม็นรบกวน เศษกระเบื้องก็หล่นจะโดนหัวคน

          ดังนั้นตนจึงเข้ามาซ่อมแซมบ้านหลังนี้ เพราะความทรุดโทรมและเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย จนกลายเป็นต่อเติมตามภาพที่เห็น ส่วนชั้นสองไม่ได้ทำอะไร ยกเว้นซ่อมหลังคา
          ทั้งนี้ ตนอยากถามกลับ 3 ข้อว่า ถ้าขอบ้านคืนจะยินดีย้ายของออกให้ และในวันนี้ก็ย้ายของออกหมดแล้ว ข้อ 2 จะให้เช่าบ้านหลังนี้ไหม ถ้าให้เช่าตนก็ยินดีเช่า ข้อ 3 จะขายบ้านหลังนี้ไหม ราคาเท่าไร ตนพร้อมขอซื้อในราคาที่เหมาะสม

          อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นข่าวดังขนาดนี้ ตนไม่เคยเรียกค่าต่อเติมบ้าน อยากให้มาคุยกันก่อน
ขอบคุณข้อมูลจาก เที่ยงวันทันเหตุการณ์