ลูกค้าไปกินร้านอาหารตามสั่ง โดนเก็บ VAT 7% มองผ่าน ๆ อาจไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ถ้ามองดี ๆ แล้วกำหมัด สงสัยภาษีที่เก็บไปได้จ่ายให้กรมสรรพากรไหม ?
เราทุกคนคงรู้จักภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% ซึ่งบนใบเสร็จนั้นต้องมีการระบุชื่อร้าน และเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ในขณะเดียวกัน ก็มีบางร้านที่เนียนชาร์จเพิ่ม 7% โดยที่ไม่ได้ให้เลขมา และลูกค้าก็อาจจะไม่ได้ใส่ใจที่จะดูบิล ทำให้ร้านเหล่านี้ยังทำแบบนี้ต่อไปได้เรื่อย ๆ
กลายเป็นประเด็นขึ้นมาในเพจ พวกเราคือผู้บริโภค เมื่อมีสมาชิกรายหนึ่งเข้ามาโพสต์ร้องเรียนร้านอาหารตามสั่งแห่งหนึ่งถึงเรื่องการเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% แต่ร้านกลับออกใบกำกับภาษีให้ไม่ได้ จึงคิดว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง และเกิดความสงสัยว่าร้านได้นำไปชำระให้กับกรมสรรพากรหรือไม่
เจ้าของโพสต์ ระบุว่า เธอไปกินอาหารตามสั่งที่ร้านบริเวณในรั้วโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ทางร้านขึ้นว่ารับเฉพาะเงินสด ตอนเห็นใบเสร็จมีเรียกเก็บ VAT 7% เธอก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะถ้าเรียกเก็บปกติในใบเสร็จต้องระบุชื่อร้าน แต่นี่ไม่ระบุชื่อร้านเลย
จากนั้นเธอจึงทำการแจ้งพนักงานว่าขอใบกำกับภาษี พนักงานบอกว่าเครื่องไม่สามารถออกได้ เธอจึงแจ้งกลับไปว่าปกติถ้าเก็บ VAT ต้องทำการออกใบกำกับได้ อย่างไรก็ตาม พนักงานยืนยันว่าไม่ได้ ก่อนที่เธอจะเดินออกจากร้านมา และทำการแจ้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (ศคบ.) แบบออนไลน์ แต่เมื่อกรอกข้อมูลต่าง ๆ ไม่สำเร็จ เพราะไม่มีชื่อร้าน ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ ไม่รู้ชื่อเจ้าของร้านใด ๆ ทั้งสิ้น จึงพยายามหาข้อมูลใน Google แต่ก็ไม่ระบุข้อมูลใด ๆ ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ เจ้าของโพสต์ไม่แน่ใจว่า VAT ที่ร้านเรียกเก็บไป ได้นำไปชำระกับกรมสรรพากรหรือไม่ เพราะไม่สามารถออกใบกำกับให้ได้ จึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องถูกต้อง และถ้าหากตรวจสอบไม่ได้ ก็ไม่อยากให้คนอื่นที่ไปกินข้าวร้านนี้เกิดปัญหาเดียวกันกับเธอ
VAT คืออะไร ?
หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีชาวเน็ตมาให้ความรู้เกี่ยวกับ VAT ระบุว่า ร้านค้าที่เรียกเก็บ vat จากลูกค้าจะต้องเป็นร้านที่จดแจ้งเรียบร้อยแล้ว เพื่อนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้จากสินค้าที่ขายไปส่งไปให้กับทางกรมสรรพากร จากนั้นกรมสรรพากรก็จะนำรายได้เข้าประเทศเพื่อนำไปพัฒนา
ถ้าร้านไหนจดแจ้งก็จะต้องออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้าได้ เช่น เวลาไปซื้อของหรือไปใช้บริการร้านไหนแล้วทางร้านถามว่าเอาใบเสร็จไหม ถ้าเป็นลูกค้าที่เปิดกิจการหรือบริษัทอยู่ หมายความว่าลูกค้าคนนั้นสามารถเอาใบกำกับภาษีไปเป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายปลายปีได้
โดยจะต้องบอกกับผู้ที่ขายสินค้าให้เราว่าขอใบกำกับภาษีด้วย คนขายก็จะออกใบกำกับภาษีมาให้ ซึ่งในใบกำกับภาษีก็จะระบุชื่อ ที่อยู่ และรายละเอียดเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ซื้อและผู้ขายลงในใบกำกับภาษีด้วย เพื่อให้ผู้ซื้อนำไปใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ เพราะผู้ซื้อได้ถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปในสินค้าแล้ว แทนที่จะซื้อของ 100 บาทในราคา 100 บาท แต่จะต้องซื้อของ 100 x VAT 7% เข้าไป แน่นอนว่าผู้ที่ขายสินค้าและบริการจะต้องนำเงินส่วนนี้ไปยื่นภาษีต่อสรรพากร
ถ้าร้านถามว่าจะเอาใบเสร็จไหม ก็จะมีทางเลือก 3 อย่าง คือ
1. ไม่เอาใบเสร็จ แบบนี้ทางร้านก็อาจจะไม่คิด VAT เข้าไปในราคาของก็ได้ เหมือนขายของเลี่ยงภาษี กำไรที่ได้ไม่ต้องนำส่งสรรพากรก็ได้ไม่มีใครรู้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการ ถ้าเป็นร้านอาหารที่จดทะเบียน ภาษีในการซื้อกับภาษีในการขายมันแยกยาก ไม่มีใครมานับว่าเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อหมูมาเท่านี้แล้วต้องมาหั่นขายให้ได้กี่ชิ้น
2. รับใบเสร็จ ผู้ขายอาจจะไม่คิดภาษีเหมือนข้อแรก เพราะถ้าคิดภาษีลูกค้าก็จะต้องจ่ายแพงขึ้น ซึ่งถ้าลูกค้าเป็นบุคคลธรรมดาไม่ได้เปิดบริษัท ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องจ่ายราคาสินค้าที่แพงขึ้น เนื่องจากไม่สามารถจะเอาใบเสร็จไปขอลดหย่อนภาษีได้
3. ขอใบกำกับภาษี การออกใบกำกับภาษีนั้นจะต้องบวก VAT เข้าไปในราคาสินค้า ซึ่งแน่นอนว่าถ้าลูกค้าเปิดบริษัทไม่ว่าจะไปซื้อของที่ไหน ก็จะพยายามถามว่าร้านนั้นสามารถออกใบกำกับภาษีได้ไหม แทนที่ลูกค้าจะซื้อของแล้วออกใบเสร็จที่จ่ายราคาสินค้าถูกลงแต่ไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีอะไรได้เลย ก็หันมาเรียกเป็นใบกำกับภาษีที่จ่ายแพงขึ้นหน่อยแต่สามารถนำไปเป็นส่วนในการลดหย่อนภาษีได้จะดีกว่า
แต่ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ก็ไม่จำเป็นต้องขอเป็นใบกำกับภาษีซึ่งจะต้องมีการเรียกเก็บ VAT 7% เข้าไปในสินค้าด้วย เพราะไม่สามารถนำไปลดหย่อนอะไรได้เลย แล้วจะจ่ายแพงขึ้นไปทำไม
ที่เป็นประเด็นคือ ร้านอาหารดังกล่าวเรียกเก็บภาษีในสินค้า แต่ไม่มีใบกำกับภาษี ไม่มีแม้กระทั่งชื่อร้านในใบเสร็จ ผู้ที่เป็นลูกค้าจึงสงสัยว่าร้านนี้เรียกเก็บภาษีจากลูกค้าแต่ไม่ได้นำส่งภาษีหรือเปล่า ซึ่งแบบนี้เข้าข่ายผิดกฎหมาย
