อัปเดตชีวิตหมอกฤตไท หลังจากมีสัญญาณดี ผ่านไป 5 เดือน ครั้งนี้ตัวโรคดุร้ายมาก มีอาการแทรกซ้อนหลายอย่าง พบก้อนเนื้อก้อนใหญ่ และต้องกินยาวันละ 20 เม็ด เครียดจนต้องปรึกษาจิตแพทย์
เป็นเรื่องที่น่าตระหนกไม่น้อยสำหรับเรื่องราวชีวิตของหมอกฤตไท เจ้าของเพจสู้ดิวะ ที่เปิดเผยว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ในวัย 28 ปี ทั้งที่เป็นคนออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพตัวเองมาโดยตลอด
ที่ผ่านมาหมอกฤตไทต่อสู้กับโรคร้ายนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนเมษายน 2566 หลังจากสู้กับมะเร็งมา 6 เดือน สัญญาณดีเริ่มมาบ้าง ก้อนที่ปอดขวายุบลงไปครึ่งหนึ่งจากของเดิม ก้อนเล็ก ๆ ที่ปอดซ้ายหายไปเกือบหมด ไม่มีก้อนมะเร็งขึ้นใหม่ ไม่มีการกระจายไปจุดอื่น
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สู้ดิวะ
ล่าสุด วันที่ 22 กันยายน 2566 เฟซบุ๊ก สู้ดิวะ มีการสรุปการรักษาของหมอกฤตไทในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมาว่าทำอะไรไปบ้าง หลังจากโพสต์สุดท้ายในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ดังนี้
หมอกฤตไท เผยว่า ตนได้ผ่านการผ่าตัดสมองและได้รับการฉายแสงที่สมองกับที่หลัง ซึ่งฉายหลายรอบมาก ส่วนการรับคีโมก็มีภาวะแทรกซ้อนมากมาย จนต้องรับยาสเตียรอยด์ปริมาณมากและเป็นเวลานาน ส่วนอาการโรคอื่น ๆ ที่แทรกซ้อนเข้ามา อาจจะมีโรคต่อมหมวกไตทำงานบกพร่องเพิ่มอีกโรค รวมถึงเจอมะเร็งก้อนใหม่ขนาดใหญ่ แต่ที่แย่ที่สุดคือ การปวดที่กระดูกและซี่โครงอย่างรุนแรง และทำให้ร่างกายของตนไม่สามารถเล่นบาสเกตบอลได้อีกแล้ว
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สู้ดิวะ
ดังนั้น ตนจึงได้ปรึกษาหมอจิตแพทย์ และได้รับยาต้านซึมเศร้ากับยาจิตเวชตัวอื่น ๆ ซึ่งโชคดีมาก ๆ ที่ตนยังมีวันนี้ มีชีวิตเขียนโพสต์นี้ให้กับทุกคน
คำถามหนึ่งที่อาจารย์หมอจิตแพทย์ได้ถามคือ "อะไรทำให้ผมยังอยากมีชีวิตอยู่" คำตอบคือ "ผมอยากเห็นหนังสือสู้ดิวะได้ตีพิมพ์" คำตอบนี้เป็นการตอบทั้งน้ำตา เพราะตนไม่รู้ว่าวันที่สู้ดิวะวางขายตามร้านหนังสือ วันนั้นตนยังมีชีวิตอยู่ไหม จริง ๆ ตนไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ สนแค่ว่าตัวแทนความคิดได้เกิดขึ้นมาแล้วจริง ๆ และในวันนี้ตนเขียนมันเสร็จแล้ว
ภาพจาก เฟซบุ๊ก สู้ดิวะ
ภาพที่เห็นนี้เป็นเวอร์ชั่นดราฟต์ ส่วนเวอร์ชั่นไฟนอลที่ทุกคนจะได้เห็น จะเปิดโชว์ทางออนไลน์วันที่ 30 กันยายน 2566 ทางเพจ Roundfinger และขายวันแรกในงานหนังสือ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กับร้านหนังสือทั่วประเทศ
ในขณะเดียวกันก็ยังมีคนมาให้กำลังใจคุณหมอไม่ขาดสาย และยังดีใจอยู่เสมอที่ได้อ่านโพสต์ของคุณหมอ ในขณะที่นิ้วกลม นักเขียนชื่อดัง ก็บอกว่าภูมิใจที่ได้ทำหนังสือเล่มนี้กับคุณหมอ หนังสือเล่มนี้เหมือนชีวิตของหมอเลย มันทรงพลัง งดงาม และเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ และขอให้คุณหมอมีพลังใจอยู่เสมอ