คุณแม่คลั่งสัก สักหน้ากว่า 100 จุด พลิกโฉมสุดอึ้ง นึกว่าลูกจะว้าว แต่ต้องตกใจกับท่าทีเด็ก ๆ แบบนี้ไม่รู้ใครตกใจกว่ากัน
วันที่ 23 มกราคม 2567 เว็บไซต์นิวยอร์กโพสต์ เมลิสสา สโลน คุณแม่วัย 46 ปี จากประเทศเวลส์ สหราชอาณาจักร กลายมาเป็นที่รู้จักกันทั่วในฐานะ "คุณแม่ที่มีรอยสักมากที่สุดในสหราชอาณาจักร" จากการมีรอยสักกว่า 800 จุดบนร่างกายของ จนทำให้เธอต้องเผชิญความลำบากหลายอย่าง ทั้งในด้านการหางาน ถูกสั่งห้ามเข้าผับในท้องถิ่นรวมถึงโรงเรียนของลูก ๆ
เมลิสสา เริ่มสักครั้งแรกตอนที่เธออายุ 20 ปี และยังสักมาเรื่อย ๆ จนเต็มพื้นที่ร่างกาย ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำหมึกจนยากที่จะนึกถึงใบหน้าที่ไร้ลวดลาย ในจุดหนึ่งเธอเคยประเมินว่าเฉพาะบนหน้า ก็น่าจะมีรอยสักอย่างน้อย 100 จุดแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เธอถูกแบนจากช่างสัก เพราะเขารู้สึกไม่สบายใจที่จะสักให้เธอมากไปกว่านั้นแล้ว
แต่คุณแม่ก็ใช่ว่าจะง้อ เพราะสุดท้ายเธอก็จัดการสั่งซื้อปืนสักผ่านช่องทางออนไลน์ แล้วเริ่มลงมือแต่งแต้มน้ำหมึกบนร่างกายด้วยตัวเอง
"วันนั้นไม่มีใครยอมมาคุยกับฉันเลยค่ะ ไม่มีเด็ก ๆ มาสักคน" เมลิสสา กล่าว
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Melissa Sloan
แต่ผู้ที่มีปฏิกิริยาผิดคาดมากที่สุด ก็คือลูก ๆ ที่วันนั้นไม่มีใครยอมคุยกับเธอเลย แถมยังบอกเธออีกว่า "กลับไปบ้าเหมือนเดิมเถอะแม่" เพราะเหมือนพวกเขากำลังมองดูคนอื่น ที่เป็นคนแปลกหน้า ไม่ใช่แม่ผู้มีรอยสักอันเป็นเอกลักษณ์ ลูกคนเล็กถึงกับผงะด้วยซ้ำตอนเห็น
ทั้งนี้ เธออธิบายให้คนที่ติดตามฟังว่า เธอเพิ่งได้รับรองพื้นที่เหมาะกับรอยสัก แต่ก็ต้องทารองพื้นหนาสุด ๆ ถึงครึ่งกระปุก มันหนาเหมือนฉาบซีเมนต์บนหน้า จริง ๆ การเปลี่ยนแปลงนั้นก็เป็นเรื่องดี เพราะเธอเบื่อที่ผู้คนมักจะพูดว่า "บนหน้าคุณมันอะไรกัน" ทำให้เธอคิดว่าต้องลองเปลี่ยนดูบ้าง จนทำให้หลาย ๆ คนพากันเซอร์ไพรส์
"พอล้างเครื่องสำอางออกไปแล้ว พวกเขาก็กลับมาเป็นปกติค่ะ" เมลิสสา กล่าวถึงลูก ๆ
อนึ่ง ในขณะที่การสักกลายมาเป็นความหลงใหลและความเสพติดของเธอ แต่แท้จริงแล้วเมลิสสาเคยเผยที่มาของการสักว่า เธอเปลี่ยนรอยสักเหล่านี้มาเป็นเครื่องปกปิดบาดแผลทางอารมณ์ ที่ต้องเผชิญจากการถูกคนในครอบครัวล่วงละเมิดทางเพศ เมื่อครั้งที่เธอยังเด็ก ขณะที่คนร้ายซึ่งเป็นพี่ชายเพิ่งจะถูกตัดสินโทษจำคุก 21 ปี ไปเมื่อปี 2565 จากความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศเด็กหลายข้อหา
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Melissa Sloan
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก New York Post