ศาลอาญายกฟ้อง ดารุมะ ซูชิ ปิดกิจการเป็นเพราะความผิดพลาดด้านการบริหาร ไม่ได้มีเจตนาทุจริต หลังเป็นข่าวดังปี 2565 มีความเสียหายมูลค่า 100 ล้านบาท
ภาพจาก hisogossi
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ไทยพีบีเอส รายงานว่า ศาลอาญามีการอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 ฟ้องบริษัทร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง และนายเมธา (สงวนนามสกุล) หรือบอนนี่ วัย 41 ปี ในฐานะจำเลยที่ 1 และ 2 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ฟอกเงิน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
อัยการโจทก์ ระบุคำฟ้องว่า ช่วงปี 2564-2565 จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงประกาศขายอาหารญี่ปุ่นแบบบุฟเฟต์ มีโปรโมชั่นต่าง ๆ แล้วให้ลูกค้าโอนเงินผ่านบัญชีบริษัท มีผู้เสียหาย 988 คนหลงเชื่อ เป็นความผิด 988 กรรม แต่ความจริง พวกจำเลยไม่ได้มีเจตนาประกอบกิจการร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว
อีกทั้งจำเลยยังมีการหลอกขายแฟรนไชส์ให้ผู้ร่วมลงทุนราคาตั้งแต่ 2 - 2.5 ล้านบาทต่อสาขา มีผู้เสียหาย 11 รายหลงเชื่อ มีความผิด 11 กรรม รวมถึงคดีฟอกเงินที่ได้รับโอนจากการกระทำผิดอีก 150 ล้านบาท เข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง เพื่อปกปิดอำพรางลักษณะที่แท้จริง
ศาลพิเคราะห์และเบิกความ พบว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นระเภทดังกล่าว และขายแฟรนไชส์จริง ต่อมาร้านได้ปิดปรับปรุงกิจการชั่วคราว เพราะเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง ทำให้ลูกค้าที่ซื้อคูปองไม่สามารถใช้บริการได้
ศาลพิพากษา ยกฟ้อง
ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองเปิดร้านอาหารตั้งแต่ปี 2559 และมีผู้บริโภคสนใจจำนวนมาก สามารถขยายกิจการได้หลายสาขา มีการขายคูปองทำโปรโมชั่น และลูกค้ายังนำคูปองมาใช้บริการได้ตามปกติ จนกระทั่งเกิดความผิดพลาดในการบริหารงาน ประกอบกับเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาปลาแซลมอน วัตถุดิบหลักราคาสูงขึ้น จนเกิดการขาดสภาพคล่อง ถือว่าไม่ได้มีเจตนาทุจริตหลอกหลวง
เรื่องการขายแฟรนไชส์ เป็นความพอใจระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ข้อเท็จจริงจึงไม่รับฟังได้ว่าเจตนาธุรกิจหลอกลวง ส่วนเรื่องการฟอกเงิน พบว่า นายเมธา มีการโอนเงินบางส่วนให้แม่บุญธรรมเป็นประจำทุกเดือน รวมถึงโอนเข้าบัญชีเพื่อนสนิท แต่เป็นการชำระหนี้ที่กู้ยืมมา พร้อมกันนั้นยังโอนเงินไปบัญชีแห่งหนึ่งเพื่อเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินสกุลดอลลาร์ เอาไว้ใช้ตอนอยู่ต่างประเทศ จึงไม่สามารถรับฟังได้ว่ามีความผิดฟอกเงิน ศาลพิพากษายกฟ้อง
ภาพจาก ช่อง 3
ย้อนคดีดารุมะ กับปรากฏการณ์ ยิ่งขายดียิ่งเจ๊ง
เมื่อปี 2565 เกิดเหตุการณ์ดารุมะ ซูชิ ปิดสาขาทุกแห่งแบบไม่มีกำหนด ทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก มีมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท ผู้ได้รับผลกระทบมีดังนี้
- ลูกค้าที่ซื้อวอยเชอร์ โดยคาดว่าวอยเชอร์ขายออกไปแล้วมากกว่า 2 แสนใบ คาดว่ามูลค่าความเสียหาย 20 ล้านบาท
- ซัพพลายเออร์ที่ขายปลาแซลมอนให้ร้าน โดยจากกระแสข่าวว่า มีการค้างค่าปลากว่า 30 ล้านบาท
- นักลงทุนที่ลงทุนซื้อแฟรนไชส์ไปเปิด คนละ 2.5 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าตกแต่งและค่าเช่าสถานที่ มีทั้งหมด 20 สาขา คิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท
- พนักงานที่ไม่ได้รับเงินเดือน คาดว่าอย่างน้อยพนักงานประมาณ 270 คน ที่ตกงาน
ส่วนสาเหตุวลีขายดีจนเจ๊ง มาจากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ปลาแซลมอนราคาสูงขึ้น จากเดิมที่ขายในราคา 499 บาท ผู้บริหารจึงตัดสินใจขายคูปองส่วนลดเหลือ 199 บาท เพื่อดึงเงินเข้าสู่ระบบ และหวังว่าราคาแซลมอนจะลดลงหลังจากนี้ แต่สถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด แซลมอนราคาไม่ได้ลดลง กลายเป็นว่า ยิ่งขายมาก ยิ่งขาดทุนมาก เพราะราคาขายไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
จากนั้น นายเมธา หรือบอลนี่ เจ้าของดารุมะที่อยู่ต่างประเทศในช่วงที่เป็นข่าวดัง ก็เดินทางกลับมาประเทศไทย และถูกจับกุมตัวในที่สุด โดยให้การสารภาพว่า ทำธุรกิจแล้วเกิดปัญหาสภาพคล่อง จึงขายคูปองออนไลน์ในราคา 199 บาท ถูกกว่าความเป็นจริง ได้เงินวันละ 1 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาหมุนในกิจการ แต่ธุรกิจก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้ จึงคิดหลบหนี กระทั่งรู้สึกกดดัน จึงตัดสินใจกลับไทยมามอบตัว
ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยพีบีเอส
ภาพจาก hisogossi
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ไทยพีบีเอส รายงานว่า ศาลอาญามีการอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 ฟ้องบริษัทร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง และนายเมธา (สงวนนามสกุล) หรือบอนนี่ วัย 41 ปี ในฐานะจำเลยที่ 1 และ 2 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ฟอกเงิน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
อัยการโจทก์ ระบุคำฟ้องว่า ช่วงปี 2564-2565 จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงประกาศขายอาหารญี่ปุ่นแบบบุฟเฟต์ มีโปรโมชั่นต่าง ๆ แล้วให้ลูกค้าโอนเงินผ่านบัญชีบริษัท มีผู้เสียหาย 988 คนหลงเชื่อ เป็นความผิด 988 กรรม แต่ความจริง พวกจำเลยไม่ได้มีเจตนาประกอบกิจการร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว
อีกทั้งจำเลยยังมีการหลอกขายแฟรนไชส์ให้ผู้ร่วมลงทุนราคาตั้งแต่ 2 - 2.5 ล้านบาทต่อสาขา มีผู้เสียหาย 11 รายหลงเชื่อ มีความผิด 11 กรรม รวมถึงคดีฟอกเงินที่ได้รับโอนจากการกระทำผิดอีก 150 ล้านบาท เข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง เพื่อปกปิดอำพรางลักษณะที่แท้จริง
ศาลพิเคราะห์และเบิกความ พบว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นระเภทดังกล่าว และขายแฟรนไชส์จริง ต่อมาร้านได้ปิดปรับปรุงกิจการชั่วคราว เพราะเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง ทำให้ลูกค้าที่ซื้อคูปองไม่สามารถใช้บริการได้
ศาลพิพากษา ยกฟ้อง
ศาลวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองเปิดร้านอาหารตั้งแต่ปี 2559 และมีผู้บริโภคสนใจจำนวนมาก สามารถขยายกิจการได้หลายสาขา มีการขายคูปองทำโปรโมชั่น และลูกค้ายังนำคูปองมาใช้บริการได้ตามปกติ จนกระทั่งเกิดความผิดพลาดในการบริหารงาน ประกอบกับเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาปลาแซลมอน วัตถุดิบหลักราคาสูงขึ้น จนเกิดการขาดสภาพคล่อง ถือว่าไม่ได้มีเจตนาทุจริตหลอกหลวง
เรื่องการขายแฟรนไชส์ เป็นความพอใจระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ข้อเท็จจริงจึงไม่รับฟังได้ว่าเจตนาธุรกิจหลอกลวง ส่วนเรื่องการฟอกเงิน พบว่า นายเมธา มีการโอนเงินบางส่วนให้แม่บุญธรรมเป็นประจำทุกเดือน รวมถึงโอนเข้าบัญชีเพื่อนสนิท แต่เป็นการชำระหนี้ที่กู้ยืมมา พร้อมกันนั้นยังโอนเงินไปบัญชีแห่งหนึ่งเพื่อเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินสกุลดอลลาร์ เอาไว้ใช้ตอนอยู่ต่างประเทศ จึงไม่สามารถรับฟังได้ว่ามีความผิดฟอกเงิน ศาลพิพากษายกฟ้อง
ภาพจาก ช่อง 3
ย้อนคดีดารุมะ กับปรากฏการณ์ ยิ่งขายดียิ่งเจ๊ง
เมื่อปี 2565 เกิดเหตุการณ์ดารุมะ ซูชิ ปิดสาขาทุกแห่งแบบไม่มีกำหนด ทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก มีมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท ผู้ได้รับผลกระทบมีดังนี้
- ลูกค้าที่ซื้อวอยเชอร์ โดยคาดว่าวอยเชอร์ขายออกไปแล้วมากกว่า 2 แสนใบ คาดว่ามูลค่าความเสียหาย 20 ล้านบาท
- ซัพพลายเออร์ที่ขายปลาแซลมอนให้ร้าน โดยจากกระแสข่าวว่า มีการค้างค่าปลากว่า 30 ล้านบาท
- นักลงทุนที่ลงทุนซื้อแฟรนไชส์ไปเปิด คนละ 2.5 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าตกแต่งและค่าเช่าสถานที่ มีทั้งหมด 20 สาขา คิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท
- พนักงานที่ไม่ได้รับเงินเดือน คาดว่าอย่างน้อยพนักงานประมาณ 270 คน ที่ตกงาน
ส่วนสาเหตุวลีขายดีจนเจ๊ง มาจากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ปลาแซลมอนราคาสูงขึ้น จากเดิมที่ขายในราคา 499 บาท ผู้บริหารจึงตัดสินใจขายคูปองส่วนลดเหลือ 199 บาท เพื่อดึงเงินเข้าสู่ระบบ และหวังว่าราคาแซลมอนจะลดลงหลังจากนี้ แต่สถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด แซลมอนราคาไม่ได้ลดลง กลายเป็นว่า ยิ่งขายมาก ยิ่งขาดทุนมาก เพราะราคาขายไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
จากนั้น นายเมธา หรือบอลนี่ เจ้าของดารุมะที่อยู่ต่างประเทศในช่วงที่เป็นข่าวดัง ก็เดินทางกลับมาประเทศไทย และถูกจับกุมตัวในที่สุด โดยให้การสารภาพว่า ทำธุรกิจแล้วเกิดปัญหาสภาพคล่อง จึงขายคูปองออนไลน์ในราคา 199 บาท ถูกกว่าความเป็นจริง ได้เงินวันละ 1 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาหมุนในกิจการ แต่ธุรกิจก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้ จึงคิดหลบหนี กระทั่งรู้สึกกดดัน จึงตัดสินใจกลับไทยมามอบตัว
ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยพีบีเอส