วันที่ 29 มีนาคม 2567 เว็บไซต์ สวพ.91 รายงานว่า นายบี (นามสมมติ) อดีตผู้จัดการร้านน้ำแข็งแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.นนทบุรี วัย 39 ปี เปิดเผยว่า ตนเป็นลูกชายคนโตของเจ้าของกิจการดังกล่าว เคยเป็นผู้จัดการโรงงานนี้มานานหลายปี ก่อนจะลาออกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 หลังจากรู้ความจริงว่า โรงงานน้ำแข็งของพ่อ มีการลักลอบแอบพ่วงไฟฟ้าหลวงมาใช้ในการผลิตน้ำแข็งออกขาย ตนพยายามทักท้วงพ่อเรื่องให้ขอให้หยุด แต่พ่อกลับอ้างว่าไม่ได้ทำ
เมื่อตนนำค่าไฟฟ้าย้อนหลังแต่ละปีมาตรวจสอบ พบว่ามีความผิดปกติจริง จากเดิมเคยจ่าย 4 แสนบาทต่อเดือน เหลือเพียง 2 แสนบาท จึงเป็นเหตุให้ตนลาออกเพราะกลัวว่าวันหนึ่งโรงงานน้ำแข็งพ่อตนถูกร้องเรียนและตรวจสอบ ตนจะถูกดำเนินคดีและติดคุกอีกครั้ง
ในเหตุการณ์นั้น ตนถูกร้องเรียนเรื่องแรงงานต่างด้าว และต้องไปขึ้นศาลในฐานะผู้จัดการโรงงาน ทางศาลก็ตักเตือนว่า อย่าไปมีส่วนร่วมในความผิดทำนองนี้อีก เมื่อรู้ว่ามีความผิดแล้วไม่ทักท้วงหรือห้าม ก็เท่ากับรู้เห็นเป็นใจไปด้วย ดังนั้น ครั้งนี้ตนจึงเข้าไปบอกพ่อเรื่องการลักไฟ และขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการโรงงาน ไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับโรงงานนี้อีกแล้ว อีกทั้งตนก็เปลี่ยนชื่อและใช้นามสกุลของแม่แทน
การตัดสินใจครั้งนี้ มีความเสี่ยงทำให้พ่อตัดออกจากกองมรกด ซึ่งยังดีกว่าตนได้มรดกแต่กลับติดคุกแทนโดยไม่ได้ใช้เงิน ตนมีแรง มีลมหายใจ สามารถสร้างอะไรด้วยตัวเองได้
หลังจากการลาออก ตนก็ไม่รู้ว่าปัจจุบันโรงงานของพ่อเลิกแอบพ่วงใช้ไฟฟ้าหลวงอีกหรือไม่ แต่ในตอนที่ตนไปบอกขอให้เลิกใช้ พ่อด่ากลับมาว่า ไอ้ลูกทรพี ตอนนี้ตนรู้สึกสบายใจที่มาหากินแบบสุจริต ดีกว่าไม่มีตำแหน่งหรือนั่งรอว่าวันใดวันหนึ่งตนจะติดคุกอีกครั้งเพราะพ่อ
ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ สวพ.91