พี่เลี้ยงสาวได้ทำงานบ้านเศรษฐี คิดว่าเป็นโอกาสดี กลับกลายเป็นฝันร้ายสุดผวา เล่านาทีหนีกลางดึก สุดท้ายได้ชดเชย 90 ล้าน !
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ในตอนที่ เคลลี่ หญิงชาวโคลอมเบีย วัย 25 ปี ถูกเอเจนซี่ส่งไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงให้กับบ้านครอบครัวเศรษฐี ในย่านสเตเตนไอแลนด์ นิวยอร์กซิตี รัฐนิวยอร์ก สหรัฐฯ เธอก็คิดว่านั่นเป็นโอกาสดี ๆ ที่จะได้เริ่มต้นใช้ชีวิตในต่างแดนพร้อมฝึกภาษาอังกฤษไปในตัว เธอเดินทางมายังคฤหาสน์มูลค่า 800,000 ดอลลาร์ (ราว 26 ล้านบาท) อย่างเปี่ยมด้วยความหวัง แต่ใครจะคิดว่าในเวลาไม่นาน การทำงานในคฤหาสน์เศรษฐีจะกลายมาเป็นฝันร้ายที่ทำให้เธอต้องผวา ดังเรื่องราวที่ได้รับการเปิดเผยจากเว็บไซต์ The Economic Times ในวันที่ 25 กันยายน 2567
- เคลลี่ เดินทางจากโคลอมเบียมายังสหรัฐฯ ในปี 2564
เพื่อเข้าทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่คฤหาสน์ของครอบครัวเอสโพซิโต
ผ่านการจัดหางานของบริษัทเอเจนซี่
- ครอบครัวนายจ้างประกอบไปด้วย ไมเคิล เอสโพซิโต วัย 35 ปี เศรษฐีเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ พร้อมกับ แดเนียล ผู้เป็นภรรยา และลูก ๆ 4 คน ซึ่งพวกเขาได้ให้พี่เลี้ยงสาวพักในห้องนอนดี ๆ ระหว่างทำหน้าที่เลี้ยงลูกให้
- แม้ชีวิตที่นี่เหมือนจะดูดี แต่เคลลี่เริ่มรู้สึกถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ของนายจ้าง เพราะเธอมักจะพบไมเคิลอยู่ในห้องนอนของเธอบ่อยครั้ง เพื่อเข้ามาปรับตำแหน่งเครื่องตรวจจับควัน ท่าทีของเขาดูแปลกและยังพยายามจะเปลี่ยนตำแหน่งเครื่องจับควันหลายครั้ง
- หลังจากทำงานได้ไม่ 3 สัปดาห์ เคลลี่ตัดสินใจเช็กดูเครื่องตรวจจับควันในห้องนอนตัวเอง แล้วก็ต้องช็อกเมื่อพบกล้องขนาดเล็กซ่อนอยู่ภายใน
- ความจริงปรากฏว่าเคลลี่ถูกติดกล้องแอบถ่าย มาโดยตลอด ซึ่งระหว่างการพิจารณาคดีในเวลาต่อมา พบว่าภายในเมมโมรี่การ์ดของกล้อง บันทึกภาพของเธอจำนวนหลายร้อยภาพ โดยมีทั้งภาพขณะเปลือยกาย ถอดเสื้อผ้า หรือแม้แต่ภาพขณะแต่งตัว
- ที่น่ากลัวไปยิ่งกว่านั้น คือเพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่เคลลี่เจอกล้อง ไมเคิลก็กลับมาถึงบ้านและตรงมายังห้องนอนของเธอ เคลลี่แกล้งทำเป็นหลับเพราะหวังให้เขาจากไป แต่ไมเคิลกลับเริ่มทุบประตูเพื่อจะเข้ามาในห้อง
- เคลลี่ตกใจมากและตัดสินใจหนีกระโดดออกมาจากหน้าต่างของห้อง เธอได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า และต้องใช้เวลาตลอดทั้งคืนนั้นซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ข้างถนน กระทั่งรุ่งเช้าเธอจึงนำกล้องที่เจอส่งเป็นหลักฐานให้ตำรวจ
- ไมเคิลถูกจับในวันที่ 24 มีนาคม 2564 พร้อมถูกตั้งข้อกล่าวหาเฝ้าติดตามโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นกฎหมายอาญาที่มีโทษจำคุก 4 ปี
- แต่ในเดือนเมษายน 2565 ไมเคิลได้รับอนุญาตให้ทำข้อตกลงรับสารภาพ รวมถึงเข้ารับคำปรึกษานาน 1 ปี ซึ่งเมื่อครบกำหนดเวลา ข้อกล่าวหาของเขาจะได้รับการผ่อนปรนเหลือเพียง พยายามเฝ้าติดตามโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีโทษทัณฑ์บนแค่ 2 ปีเท่านั้น
- เคลลี่และทีมกฎหมายของเธอไม่พอใจคำตัดสินดังกล่าว และออกมาแสดงความผิดหวัง โดยทนายของเธอชี้ว่า ในขณะที่จำเลยทำเรื่องเหล่านั้น เขายังได้กลับคฤหาสน์ไปหาลูกเมีย ในขณะที่ลูกความของตนต้องนอนบนถนน
- กระทั่งในปี 2567 ศาลในนิวยอร์กได้พิจารณาคดีทางแพ่ง โดยหลังการไต่สวนนาน 4 วัน ท้ายที่สุดคณะลูกขุนก็มีคำตัดสิน ให้ไมเคิลเยียวยาความเสียหายทางจิตใจของเหยื่อ เป็นจำนวนเงิน 780,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 25 ล้านบาท) รวมถึงอีก 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 65 ล้านบาท) เป็นค่าเสียหายเชิงลงโทษ
- คำตัดสินดังกล่าวทำให้เคลลี่โล่งใจขึ้นบ้าง แต่เมื่อมองดูผลลัพธ์โดยรวมประกอบกับความทุกข์ใจที่ผ่านมา เธอมองว่าคำพิพากษานี้ ไม่เพียงพอเลยสำหรับความเจ็บปวดที่เธอต้องเผชิญ แม้เธอจะได้รับเงินชดเชยรวมถึง 2.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 90 ล้านบาท) ก็ตาม
- เคลลี่ ยอมรับว่าการมาขึ้นศาลสำหรับเธอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังทำให้เธอยังต้องนึกถึงความทรงจำที่อยากจะลืม อย่างไรก็ตาม เธอยังหวังว่าการที่เธอออกมาพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะกระตุ้นให้เหยื่อคนอื่น ๆ ที่ถูกล่วงละเมิด ออกมาแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดเช่นเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก The Economic Times, Daily Star
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
- ครอบครัวนายจ้างประกอบไปด้วย ไมเคิล เอสโพซิโต วัย 35 ปี เศรษฐีเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ พร้อมกับ แดเนียล ผู้เป็นภรรยา และลูก ๆ 4 คน ซึ่งพวกเขาได้ให้พี่เลี้ยงสาวพักในห้องนอนดี ๆ ระหว่างทำหน้าที่เลี้ยงลูกให้
- แม้ชีวิตที่นี่เหมือนจะดูดี แต่เคลลี่เริ่มรู้สึกถึงพฤติกรรมแปลก ๆ ของนายจ้าง เพราะเธอมักจะพบไมเคิลอยู่ในห้องนอนของเธอบ่อยครั้ง เพื่อเข้ามาปรับตำแหน่งเครื่องตรวจจับควัน ท่าทีของเขาดูแปลกและยังพยายามจะเปลี่ยนตำแหน่งเครื่องจับควันหลายครั้ง
- หลังจากทำงานได้ไม่ 3 สัปดาห์ เคลลี่ตัดสินใจเช็กดูเครื่องตรวจจับควันในห้องนอนตัวเอง แล้วก็ต้องช็อกเมื่อพบกล้องขนาดเล็กซ่อนอยู่ภายใน
- ความจริงปรากฏว่าเคลลี่ถูกติดกล้องแอบถ่าย มาโดยตลอด ซึ่งระหว่างการพิจารณาคดีในเวลาต่อมา พบว่าภายในเมมโมรี่การ์ดของกล้อง บันทึกภาพของเธอจำนวนหลายร้อยภาพ โดยมีทั้งภาพขณะเปลือยกาย ถอดเสื้อผ้า หรือแม้แต่ภาพขณะแต่งตัว
- ที่น่ากลัวไปยิ่งกว่านั้น คือเพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่เคลลี่เจอกล้อง ไมเคิลก็กลับมาถึงบ้านและตรงมายังห้องนอนของเธอ เคลลี่แกล้งทำเป็นหลับเพราะหวังให้เขาจากไป แต่ไมเคิลกลับเริ่มทุบประตูเพื่อจะเข้ามาในห้อง
- เคลลี่ตกใจมากและตัดสินใจหนีกระโดดออกมาจากหน้าต่างของห้อง เธอได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า และต้องใช้เวลาตลอดทั้งคืนนั้นซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ข้างถนน กระทั่งรุ่งเช้าเธอจึงนำกล้องที่เจอส่งเป็นหลักฐานให้ตำรวจ
- ไมเคิลถูกจับในวันที่ 24 มีนาคม 2564 พร้อมถูกตั้งข้อกล่าวหาเฝ้าติดตามโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นกฎหมายอาญาที่มีโทษจำคุก 4 ปี
- แต่ในเดือนเมษายน 2565 ไมเคิลได้รับอนุญาตให้ทำข้อตกลงรับสารภาพ รวมถึงเข้ารับคำปรึกษานาน 1 ปี ซึ่งเมื่อครบกำหนดเวลา ข้อกล่าวหาของเขาจะได้รับการผ่อนปรนเหลือเพียง พยายามเฝ้าติดตามโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีโทษทัณฑ์บนแค่ 2 ปีเท่านั้น
- เคลลี่และทีมกฎหมายของเธอไม่พอใจคำตัดสินดังกล่าว และออกมาแสดงความผิดหวัง โดยทนายของเธอชี้ว่า ในขณะที่จำเลยทำเรื่องเหล่านั้น เขายังได้กลับคฤหาสน์ไปหาลูกเมีย ในขณะที่ลูกความของตนต้องนอนบนถนน
- กระทั่งในปี 2567 ศาลในนิวยอร์กได้พิจารณาคดีทางแพ่ง โดยหลังการไต่สวนนาน 4 วัน ท้ายที่สุดคณะลูกขุนก็มีคำตัดสิน ให้ไมเคิลเยียวยาความเสียหายทางจิตใจของเหยื่อ เป็นจำนวนเงิน 780,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 25 ล้านบาท) รวมถึงอีก 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 65 ล้านบาท) เป็นค่าเสียหายเชิงลงโทษ
- คำตัดสินดังกล่าวทำให้เคลลี่โล่งใจขึ้นบ้าง แต่เมื่อมองดูผลลัพธ์โดยรวมประกอบกับความทุกข์ใจที่ผ่านมา เธอมองว่าคำพิพากษานี้ ไม่เพียงพอเลยสำหรับความเจ็บปวดที่เธอต้องเผชิญ แม้เธอจะได้รับเงินชดเชยรวมถึง 2.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 90 ล้านบาท) ก็ตาม
- เคลลี่ ยอมรับว่าการมาขึ้นศาลสำหรับเธอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังทำให้เธอยังต้องนึกถึงความทรงจำที่อยากจะลืม อย่างไรก็ตาม เธอยังหวังว่าการที่เธอออกมาพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะกระตุ้นให้เหยื่อคนอื่น ๆ ที่ถูกล่วงละเมิด ออกมาแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดเช่นเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก The Economic Times, Daily Star