ลุงทำพินัยกรรมยกมรดก 39 ล้านให้หลาน ครอบครัวแอบดีใจจนวันที่ลุงตาย ได้รู้ความจริงทั้งหมด กลายเป็นขมขื่นสุด
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 เว็บไซต์ Soha เผยเรื่องราวจากชายรายหนึ่งในเวียดนาม เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ออกมาแชร์เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกี่ยวกับลุงของเขา โดยก่อนหน้านี้ลุงได้ทำพินัยกรรมระบุเอาไว้ว่า เมื่อเขาเสียชีวิตแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดเกือบ 40 ล้าน จะเป็นของหลานชาย ทำให้ครอบครัวของเขาแอบดีใจมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงวันที่ลุงลาโลกไปจริง ๆ เรื่องราวที่ตามมากลับพลิกผันกลายเป็นความขมขื่นอย่างที่สุด
หลานชายเล่าเรื่องราวว่า ลุงคนนี้ไม่ได้แต่งงาน ไม่มีภรรยาและลูก ลุงสนุกไปกับการใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ ตอนที่ยังแข็งแรงลุงจึงได้ทำอะไรตามใจชอบ แต่ช่วงหลัง ๆ ลุงเริ่มมีปัญหาสุขภาพรุมเร้า จึงทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ ตอนนั้นเองที่ลุงเริ่มตระหนักถึงการใช้ชีวิตตามลำพัง เนื่องจากไม่มีคนคอยดูแลยามเจ็บไข้ได้ป่วย ช่วงนั้นลุงมักจะโทรศัพท์มาหาพ่อของเขากลางดึก ทั้งร้องไห้และบ่นว่าเหงา รู้สึกโดดเดี่ยวตัวคนเดียว
ทุกครั้งที่ลุงระบายความในใจ พ่อของเขาก็จะคอยปลอบโยน บางครั้งพ่อก็จะพาครอบครัวไปเยี่ยมคอยให้กำลังใจและซื้อของไปฝาก จนน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ลุงซาบซึ้งใจ วันหนึ่งลุงจึงเรียกครอบครัวของเขาไปหาและประกาศเรื่องสำคัญว่า ลุงจะยกทรัพย์สินทั้งหมด ได้แก่ เงินออมและบ้าน ให้กับเขา รวมมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านดอง (ราว 39 ล้านบาท) โดยลุงกล่าวว่า "วันหนึ่งที่ฉันจากโลกนี้ไป ฉันจะทิ้งทุกอย่างไว้ให้หลานชายของฉัน"
ข่าวที่ลุงจะยกสมบัติให้กับหลานถูกแพร่สะพัดไปในชุมชน ทั้งญาติและเพื่อน ๆ ของครอบครัวที่รู้เรื่องพากันมาสอบถามและเกิดการซุบซิบนินทา แต่ทางครอบครัวก็ยังแวะเวียนไปดูแลลุงเหมือนเดิม กระทั่งต่อมาอาการและภาวะทางจิตใจของลุงดีขึ้น เขาก็เริ่มเดินทางท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง สนุกไปกับการใช้ชีวิตเช่นเดิม ทำให้แม่ของเขารู้สึกไม่พอใจ เพราะลุงสัญญาว่าจะยกทรัพย์สินให้หลานแล้ว แต่กลับใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนเกินควร
อย่างไรก็ตาม พ่อของเขาได้ปรามแม่ โดยบอกว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของลุง ลุงจึงมีสิทธิ์ที่จะใช้จ่ายอย่างไรก็ได้ ส่วนที่ลุงจะยกให้ก็คือตอนหลังจากที่เสียชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พ่อและแม่ของเขาทะเลาะกัน ส่วนตัวเขาในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก และไม่ได้สนใจทรัพย์สินของลุงด้วยซ้ำ เขาแค่รู้สึกดีใจที่ลุงกลับมาแข็งแรงและมีความสุข
ไม่กี่ปีต่อมา ครอบครัวของเขาได้ซื้อบ้าน ซื้อรถ และตัวเขาก็แต่งงาน ส่วนลุงก็ยังใช้ชีวิตมีความสุข แม้จะมีปัญหาสุขภาพบ้าง ด้านแม่ของเขาก็ไม่สนใจเรื่องการใช้เงินของลุงแล้ว เพราะไม่รู้ว่าลุงจะยังรักษาสัญญาหรือไม่ กระทั่ง 6 ปีหลังจากลุงเขียนพินัยกรรม อยู่ ๆ ลุงก็มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ไม่เดินทางไปเที่ยวหรือกินดื่ม รวมทั้งไม่ช้อปปิ้งซื้อของ เอาแต่อยู่บ้าน
ทางครอบครัวรู้สึกประหลาดใจ พ่อของเขาจึงเข้าไปสอบถามด้วยความเป็นห่วงว่าลุงเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ลุงให้คำตอบมาว่า "ฉันไม่สามารถใช้เงินฟุ่มเฟือยได้อีกต่อไป ฉันต้องเก็บมันไว้ให้หลานชายของฉัน" พ่อของเขาได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกซึ้งใจ
หลังจากนั้นทางครอบครัวยิ่งดูแลใส่ใจลุง
เพราะเข้าใจว่าลุงตั้งใจใช้เงินอย่างประหยัดเพื่อเก็บเอาไว้ให้ครอบครัวของเขาในอนาคต
ต่อมาอาการของลุงเริ่มทรุดลงจนถึงขนาดลุกจากเตียงไม่ไหว พ่อของเขาจึงตัดสินใจรับลุงมาดูแลที่บ้าน แต่หลังจากนั้นอาการของลุงก็แย่ลงเรื่อย ๆ ครอบครัวได้พาลุงไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่โชคร้ายที่อาการของลุงค่อนข้างรุนแรง ทำให้การรักษาไม่เป็นผล หลังจากเข้าโรงพยาบาลได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ลุงก็เสียชีวิต
ทางครอบครัวของเขาได้จัดงานศพให้กับลุงจนเสร็จสิ้น จากนั้นพวกเขาได้พากันไปที่บ้านของลุง และเจอบัญชีธนาคารของลุง แต่เมื่อตรวจสอบยอดเงินกลับพบว่ามีเงินเพียง 280,000 ดอง (ราว 371 บาท) เท่านั้น ทางครอบครัวตกใจมาก แต่คิดว่าอาจจะมีบัญชีอื่นอีก แต่เมื่อหาจนทั่วบ้านก็ไม่เจอ มีเพียงเศษเหรียญไม่กี่เหรียญ เมื่อทางครอบครัวคิดที่จะขายบ้านของลุงก็ยิ่งตกตะลึง เมื่อพบว่าบ้านถูกนำไปจำนองใช้กู้เงินมาหลายปีแล้ว
ตอนนี้ทางครอบครัวรู้แล้วว่าพินัยกรรมของลุงตอนนี้เป็นแค่กระดาษเปล่า พ่อของเขาถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด กล่าวว่า "พี่ชาย เราเป็นพี่น้องกัน คุณมาหลอกเราแบบนี้ได้อย่างไร" ส่วนตัวเขาก็รู้สึกเสียใจ เพราะดูเหมือนว่าลุงจะใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาทรัพย์สมบัติมาเป็นกับดัก เพื่อหลอกล่อให้ครอบครัวห่วงใยดูแลมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็เหลือแค่มือเปล่า
"สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับเรา ไม่ใช่การที่เราไม่ได้เงิน แต่คือการถูกญาติของเราหลอก" หลานชายกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก Soha
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 เว็บไซต์ Soha เผยเรื่องราวจากชายรายหนึ่งในเวียดนาม เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ออกมาแชร์เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกี่ยวกับลุงของเขา โดยก่อนหน้านี้ลุงได้ทำพินัยกรรมระบุเอาไว้ว่า เมื่อเขาเสียชีวิตแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดเกือบ 40 ล้าน จะเป็นของหลานชาย ทำให้ครอบครัวของเขาแอบดีใจมาโดยตลอด จนกระทั่งถึงวันที่ลุงลาโลกไปจริง ๆ เรื่องราวที่ตามมากลับพลิกผันกลายเป็นความขมขื่นอย่างที่สุด
หลานชายเล่าเรื่องราวว่า ลุงคนนี้ไม่ได้แต่งงาน ไม่มีภรรยาและลูก ลุงสนุกไปกับการใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ ตอนที่ยังแข็งแรงลุงจึงได้ทำอะไรตามใจชอบ แต่ช่วงหลัง ๆ ลุงเริ่มมีปัญหาสุขภาพรุมเร้า จึงทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ ตอนนั้นเองที่ลุงเริ่มตระหนักถึงการใช้ชีวิตตามลำพัง เนื่องจากไม่มีคนคอยดูแลยามเจ็บไข้ได้ป่วย ช่วงนั้นลุงมักจะโทรศัพท์มาหาพ่อของเขากลางดึก ทั้งร้องไห้และบ่นว่าเหงา รู้สึกโดดเดี่ยวตัวคนเดียว
ทุกครั้งที่ลุงระบายความในใจ พ่อของเขาก็จะคอยปลอบโยน บางครั้งพ่อก็จะพาครอบครัวไปเยี่ยมคอยให้กำลังใจและซื้อของไปฝาก จนน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ลุงซาบซึ้งใจ วันหนึ่งลุงจึงเรียกครอบครัวของเขาไปหาและประกาศเรื่องสำคัญว่า ลุงจะยกทรัพย์สินทั้งหมด ได้แก่ เงินออมและบ้าน ให้กับเขา รวมมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านดอง (ราว 39 ล้านบาท) โดยลุงกล่าวว่า "วันหนึ่งที่ฉันจากโลกนี้ไป ฉันจะทิ้งทุกอย่างไว้ให้หลานชายของฉัน"
ข่าวที่ลุงจะยกสมบัติให้กับหลานถูกแพร่สะพัดไปในชุมชน ทั้งญาติและเพื่อน ๆ ของครอบครัวที่รู้เรื่องพากันมาสอบถามและเกิดการซุบซิบนินทา แต่ทางครอบครัวก็ยังแวะเวียนไปดูแลลุงเหมือนเดิม กระทั่งต่อมาอาการและภาวะทางจิตใจของลุงดีขึ้น เขาก็เริ่มเดินทางท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง สนุกไปกับการใช้ชีวิตเช่นเดิม ทำให้แม่ของเขารู้สึกไม่พอใจ เพราะลุงสัญญาว่าจะยกทรัพย์สินให้หลานแล้ว แต่กลับใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนเกินควร
อย่างไรก็ตาม พ่อของเขาได้ปรามแม่ โดยบอกว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของลุง ลุงจึงมีสิทธิ์ที่จะใช้จ่ายอย่างไรก็ได้ ส่วนที่ลุงจะยกให้ก็คือตอนหลังจากที่เสียชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พ่อและแม่ของเขาทะเลาะกัน ส่วนตัวเขาในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก และไม่ได้สนใจทรัพย์สินของลุงด้วยซ้ำ เขาแค่รู้สึกดีใจที่ลุงกลับมาแข็งแรงและมีความสุข
ไม่กี่ปีต่อมา ครอบครัวของเขาได้ซื้อบ้าน ซื้อรถ และตัวเขาก็แต่งงาน ส่วนลุงก็ยังใช้ชีวิตมีความสุข แม้จะมีปัญหาสุขภาพบ้าง ด้านแม่ของเขาก็ไม่สนใจเรื่องการใช้เงินของลุงแล้ว เพราะไม่รู้ว่าลุงจะยังรักษาสัญญาหรือไม่ กระทั่ง 6 ปีหลังจากลุงเขียนพินัยกรรม อยู่ ๆ ลุงก็มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ไม่เดินทางไปเที่ยวหรือกินดื่ม รวมทั้งไม่ช้อปปิ้งซื้อของ เอาแต่อยู่บ้าน
ต่อมาอาการของลุงเริ่มทรุดลงจนถึงขนาดลุกจากเตียงไม่ไหว พ่อของเขาจึงตัดสินใจรับลุงมาดูแลที่บ้าน แต่หลังจากนั้นอาการของลุงก็แย่ลงเรื่อย ๆ ครอบครัวได้พาลุงไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่โชคร้ายที่อาการของลุงค่อนข้างรุนแรง ทำให้การรักษาไม่เป็นผล หลังจากเข้าโรงพยาบาลได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ลุงก็เสียชีวิต
ทางครอบครัวของเขาได้จัดงานศพให้กับลุงจนเสร็จสิ้น จากนั้นพวกเขาได้พากันไปที่บ้านของลุง และเจอบัญชีธนาคารของลุง แต่เมื่อตรวจสอบยอดเงินกลับพบว่ามีเงินเพียง 280,000 ดอง (ราว 371 บาท) เท่านั้น ทางครอบครัวตกใจมาก แต่คิดว่าอาจจะมีบัญชีอื่นอีก แต่เมื่อหาจนทั่วบ้านก็ไม่เจอ มีเพียงเศษเหรียญไม่กี่เหรียญ เมื่อทางครอบครัวคิดที่จะขายบ้านของลุงก็ยิ่งตกตะลึง เมื่อพบว่าบ้านถูกนำไปจำนองใช้กู้เงินมาหลายปีแล้ว
ตอนนี้ทางครอบครัวรู้แล้วว่าพินัยกรรมของลุงตอนนี้เป็นแค่กระดาษเปล่า พ่อของเขาถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด กล่าวว่า "พี่ชาย เราเป็นพี่น้องกัน คุณมาหลอกเราแบบนี้ได้อย่างไร" ส่วนตัวเขาก็รู้สึกเสียใจ เพราะดูเหมือนว่าลุงจะใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาทรัพย์สมบัติมาเป็นกับดัก เพื่อหลอกล่อให้ครอบครัวห่วงใยดูแลมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็เหลือแค่มือเปล่า
"สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับเรา ไม่ใช่การที่เราไม่ได้เงิน แต่คือการถูกญาติของเราหลอก" หลานชายกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก Soha