หลานสาวตรวจ DNA เล่น กลายเป็นเรื่องช็อก คดีปริศนาชื่อดังเมื่อ 27 ปีก่อนถูกเปิดเผย ส่งยายเข้าคุกตอนแก่
ภาพจาก TikTok @__jennarose__
วันที่ 19 ธันวาคม 2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้มีคลิปวิดีโอของ เจนนา โรส เกอร์วาตอฟสกี (Jenna Rose Gerwatowski) หญิงสาวชาวอเมริกัน วัย 23 ปี กลายเป็นคลิปไวรัลสร้างความประหลาดใจต่อผู้ที่เข้าไปชมกว่า 17 ล้านครั้ง เมื่อเธอออกมาเปิดเผยเรื่องราวสุดช็อกว่า การตรวจดีเอ็นเอเล่นขำ ๆ ของเธอ ทำให้ยายของเธอถูกจับและอาจจะต้องเข้าคุก จากคดีฆาตกรรมที่ปิดไม่ลงเมื่อ 27 ปีก่อน
เมื่อปี 2540 มีคดีชื่อดังเกิดขึ้นในพื้นที่ตั้งแคมป์การ์เน็ตเลค ในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา เมื่อมีคนพบศพทารกเสียชีวิตในห้องน้ำ เจ้าหน้าที่สืบสวนไม่สามารถหาเบาะแสหรือระบุตัวตนของทารกได้ ทั้งยังไม่พบพยานที่เห็นเหตุการณ์ รวมถึงบุคคลต้องสงสัยที่ก่อเหตุหรือนำทารกมาทิ้ง
ต่อมาในขณะนั้น สำนักงานอัยการสูงสุดของรัฐมิชิแกนได้ตัดสินให้ยุติการสืบสวนคดีนี้ จนกลายเป็นคดีที่ปิดไม่ลง คดีนี้จึงถูกเรียกว่า คดีเบบี้การ์เน็ต (Baby Garnet) คดีฆาตกรรมลึกลับชื่อดัง ซึ่งหลายคนโดยเฉพาะคนในพื้นที่เคยได้ยินกันมานานหลายสิบปี รวมถึงตัวของเจนนาเอง
ในช่วงเดือนธันวาคม 2564 เพื่อนของเจนนาได้รับชุดทดสอบดีเอ็นเอ FamilyTreeDNA เป็นของขวัญคริสต์มาส เธอเห็นว่ามันน่าสนุกดีจึงสั่งมาเล่นบ้าง ทว่าผลดีเอ็นเอของเธอที่ตรวจพบในระบบมีความเชื่อมโยงกับทารกที่เสียชีวิตในคดีเบบี้การ์เน็ต ทำให้เจ้าหน้าที่สืบสวนติดต่อมาหาเธอในเดือนพฤษภาคม 2565
เจนนา เผยว่า ปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยรับสายเบอร์ที่ไม่รู้จัก แต่วันนั้นเธอกดรับและกลายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งว่า "ผลดีเอ็นเอของคุณตรงกับทารกที่เสียชีวิตในปี 2540 คดีเบบี้การ์เน็ต คุณเคยได้ยินไหม ?" เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่จริงจังของเจ้าหน้าที่ ทำให้เธอรู้ว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และเธอก็รู้สึกตกใจมาก
เจนนาเล่าเรื่องนี้ให้แม่ของเธอฟัง แม่ก็ตกใจและสับสนมากเช่นกัน ไม่รู้เลยว่าไปเกี่ยวข้องทางไหน ทางพ่อหรือแม่ หรืออาจจะเป็นญาติห่าง ๆ ที่ไม่รู้จัก แม่ของเธอถึงขนาดคิดว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพมาหลอกลวง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้พบความจริงที่ไม่คาดฝัน
ภาพจาก TikTok @__jennarose__
ความจริงแล้วทางเจ้าหน้าที่สืบสวนได้เปิดคดีเบบี้การ์เน็ตขึ้นมาสอบสวนใหม่อีกครั้งตั้งแต่ปี 2560 โดยทำงานร่วมกับบริษัทด้านนิติเวชศาสตร์แห่งหนึ่ง เพื่อสกัดดีเอ็นเอจากกระดูกต้นขาบางส่วนของทารกเบบี้การ์เน็ต แล้วส่งผลตรวจไปยัง Identifinders International บริษัทสืบสวนจากเทคโนโลยีการตรวจทางพันธุกรรม กระทั่งมาพบข้อมูลสำคัญจากดีเอ็นเอของเจนนา
จากการวิเคราะห์ชุดตรวจดีเอ็นเอของเจนนา แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นลูกสาวของพี่หรือน้องของเบบี้การ์เน็ต ต่อมาในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 เจ้าหน้าที่จึงได้พูดคุยกับ คารา วัย 42 ปี แม่ของเจนนา และได้มีการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของเธอด้วย ผลปรากฏว่า คาราเป็นพี่สาวต่างพ่อของเบบี้การ์เน็ต
ตอนนั้นปริศนาเริ่มคลี่คลายมากขึ้น คารา เผยกับทีมสืบสวนว่า "หากจะมีใครสักคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ คนคนนั้นอาจจะเป็นแม่ของเธอ"
แม่ของคารา หรือยายของเจนนา คือ แนนซี เกอร์วาตอฟสกี (Nancy Gerwatowski) วัย 61 ปี แต่พวกเธอไม่ได้อยู่ด้วยกัน เนื่องจากคารามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับแนนซี เธอไม่ได้คุยกับแม่มาตั้งแต่อายุ 18 ปี ทำให้เจนนาไม่เคยเจอหน้าของยาย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีใครคาดฝันว่าวันหนึ่งแนนซีจะกลายเป็นผู้กระทำผิดในคดีปริศนาชื่อดังนี้
ผลการตรวจดีเอ็นเอเพิ่มเติมอย่างเป็นทางการยืนยันว่า แนนซีมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเบบี้การ์เน็ต หรือกล่าวได้ว่า เธอเป็นแม่ของเบบี้การ์เน็ต
"ฉันไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้ (แนนซี) เลย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากสำหรับฉันที่จะเข้าใจความคิดของเธอ แต่คงจะยากยิ่งกว่าสำหรับแม่ของฉัน เพราะนั่นคือแม่ของแม่" เจนนา กล่าว
ภาพจาก Mackinac County Sheriff's Office
สำนักงานอัยการสูงสุดของรัฐมิชิแกน กล่าวว่า แนนซีได้คลอดทารกแรกเกิดเพียงลำพังที่บ้านของเธอในเมืองนิวเบอร์รี ซึ่งระหว่างนั้นทารกได้เสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจ แต่ก่อนหน้านั้นแนนซีมีโอกาสที่จะช่วยชีวิตทารกได้โดยการพาไปพบแพทย์ แต่เธอไม่ได้ทำเช่นนั้น กลับนำทารกใส่ถุงไปทิ้งที่จุดตั้งแคมป์ จนกลายเป็นคดีเบบี้การ์เน็ต
ทว่า แนนซี ได้โต้แย้งว่า เธอคลอดลูกโดยไม่ทันได้ตั้งตัวในอ่างอาบน้ำ และทารกติดอยู่ในช่องคลอด เธอพยายามดึงทารกในครรภ์ออกมาจนหมดสติ เมื่อฟื้นขึ้นมาก็สามารถดึงทารกออกได้สำเร็จ แต่ทารกไม่มีชีวิต ตอนนั้นเธออยู่ในอาการช็อก เนื่องจากการคลอดลูกที่เจ็บปวดและกระทบกระเทือนจิตใจ
แนนซีถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาและปกปิดการตาย ซึ่งตามกฎหมายของรัฐมิชิแกนอาจได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม ศาลยังคงอยู่ระหว่างพิจารณาว่าคดีนี้สมควรจะถูกยกฟ้องหรือไม่ ตามที่มีการโต้แย้งว่า "เนื่องจากรัฐไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าทารกนั้นเกิดมามีชีวิต"
ขอบคุณข้อมูลจาก New York Post, CNN
ภาพจาก TikTok @__jennarose__
วันที่ 19 ธันวาคม 2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้มีคลิปวิดีโอของ เจนนา โรส เกอร์วาตอฟสกี (Jenna Rose Gerwatowski) หญิงสาวชาวอเมริกัน วัย 23 ปี กลายเป็นคลิปไวรัลสร้างความประหลาดใจต่อผู้ที่เข้าไปชมกว่า 17 ล้านครั้ง เมื่อเธอออกมาเปิดเผยเรื่องราวสุดช็อกว่า การตรวจดีเอ็นเอเล่นขำ ๆ ของเธอ ทำให้ยายของเธอถูกจับและอาจจะต้องเข้าคุก จากคดีฆาตกรรมที่ปิดไม่ลงเมื่อ 27 ปีก่อน
คดีเบบี้การ์เน็ต (Baby Garnet)
เมื่อปี 2540 มีคดีชื่อดังเกิดขึ้นในพื้นที่ตั้งแคมป์การ์เน็ตเลค ในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา เมื่อมีคนพบศพทารกเสียชีวิตในห้องน้ำ เจ้าหน้าที่สืบสวนไม่สามารถหาเบาะแสหรือระบุตัวตนของทารกได้ ทั้งยังไม่พบพยานที่เห็นเหตุการณ์ รวมถึงบุคคลต้องสงสัยที่ก่อเหตุหรือนำทารกมาทิ้ง
ต่อมาในขณะนั้น สำนักงานอัยการสูงสุดของรัฐมิชิแกนได้ตัดสินให้ยุติการสืบสวนคดีนี้ จนกลายเป็นคดีที่ปิดไม่ลง คดีนี้จึงถูกเรียกว่า คดีเบบี้การ์เน็ต (Baby Garnet) คดีฆาตกรรมลึกลับชื่อดัง ซึ่งหลายคนโดยเฉพาะคนในพื้นที่เคยได้ยินกันมานานหลายสิบปี รวมถึงตัวของเจนนาเอง
ตรวจดีเอ็นเอเล่น
ในช่วงเดือนธันวาคม 2564 เพื่อนของเจนนาได้รับชุดทดสอบดีเอ็นเอ FamilyTreeDNA เป็นของขวัญคริสต์มาส เธอเห็นว่ามันน่าสนุกดีจึงสั่งมาเล่นบ้าง ทว่าผลดีเอ็นเอของเธอที่ตรวจพบในระบบมีความเชื่อมโยงกับทารกที่เสียชีวิตในคดีเบบี้การ์เน็ต ทำให้เจ้าหน้าที่สืบสวนติดต่อมาหาเธอในเดือนพฤษภาคม 2565
เจนนา เผยว่า ปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยรับสายเบอร์ที่ไม่รู้จัก แต่วันนั้นเธอกดรับและกลายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งว่า "ผลดีเอ็นเอของคุณตรงกับทารกที่เสียชีวิตในปี 2540 คดีเบบี้การ์เน็ต คุณเคยได้ยินไหม ?" เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่จริงจังของเจ้าหน้าที่ ทำให้เธอรู้ว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และเธอก็รู้สึกตกใจมาก
เจนนาเล่าเรื่องนี้ให้แม่ของเธอฟัง แม่ก็ตกใจและสับสนมากเช่นกัน ไม่รู้เลยว่าไปเกี่ยวข้องทางไหน ทางพ่อหรือแม่ หรืออาจจะเป็นญาติห่าง ๆ ที่ไม่รู้จัก แม่ของเธอถึงขนาดคิดว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพมาหลอกลวง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้พบความจริงที่ไม่คาดฝัน
ภาพจาก TikTok @__jennarose__
คดีถูกรื้อ
ความจริงแล้วทางเจ้าหน้าที่สืบสวนได้เปิดคดีเบบี้การ์เน็ตขึ้นมาสอบสวนใหม่อีกครั้งตั้งแต่ปี 2560 โดยทำงานร่วมกับบริษัทด้านนิติเวชศาสตร์แห่งหนึ่ง เพื่อสกัดดีเอ็นเอจากกระดูกต้นขาบางส่วนของทารกเบบี้การ์เน็ต แล้วส่งผลตรวจไปยัง Identifinders International บริษัทสืบสวนจากเทคโนโลยีการตรวจทางพันธุกรรม กระทั่งมาพบข้อมูลสำคัญจากดีเอ็นเอของเจนนา
จากการวิเคราะห์ชุดตรวจดีเอ็นเอของเจนนา แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นลูกสาวของพี่หรือน้องของเบบี้การ์เน็ต ต่อมาในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 เจ้าหน้าที่จึงได้พูดคุยกับ คารา วัย 42 ปี แม่ของเจนนา และได้มีการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของเธอด้วย ผลปรากฏว่า คาราเป็นพี่สาวต่างพ่อของเบบี้การ์เน็ต
ตอนนั้นปริศนาเริ่มคลี่คลายมากขึ้น คารา เผยกับทีมสืบสวนว่า "หากจะมีใครสักคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ คนคนนั้นอาจจะเป็นแม่ของเธอ"
แม่ของคารา หรือยายของเจนนา คือ แนนซี เกอร์วาตอฟสกี (Nancy Gerwatowski) วัย 61 ปี แต่พวกเธอไม่ได้อยู่ด้วยกัน เนื่องจากคารามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับแนนซี เธอไม่ได้คุยกับแม่มาตั้งแต่อายุ 18 ปี ทำให้เจนนาไม่เคยเจอหน้าของยาย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีใครคาดฝันว่าวันหนึ่งแนนซีจะกลายเป็นผู้กระทำผิดในคดีปริศนาชื่อดังนี้
ผลการตรวจดีเอ็นเอเพิ่มเติมอย่างเป็นทางการยืนยันว่า แนนซีมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเบบี้การ์เน็ต หรือกล่าวได้ว่า เธอเป็นแม่ของเบบี้การ์เน็ต
"ฉันไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้ (แนนซี) เลย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากสำหรับฉันที่จะเข้าใจความคิดของเธอ แต่คงจะยากยิ่งกว่าสำหรับแม่ของฉัน เพราะนั่นคือแม่ของแม่" เจนนา กล่าว
ภาพจาก Mackinac County Sheriff's Office
การพิจารณาคดี
สำนักงานอัยการสูงสุดของรัฐมิชิแกน กล่าวว่า แนนซีได้คลอดทารกแรกเกิดเพียงลำพังที่บ้านของเธอในเมืองนิวเบอร์รี ซึ่งระหว่างนั้นทารกได้เสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจ แต่ก่อนหน้านั้นแนนซีมีโอกาสที่จะช่วยชีวิตทารกได้โดยการพาไปพบแพทย์ แต่เธอไม่ได้ทำเช่นนั้น กลับนำทารกใส่ถุงไปทิ้งที่จุดตั้งแคมป์ จนกลายเป็นคดีเบบี้การ์เน็ต
ทว่า แนนซี ได้โต้แย้งว่า เธอคลอดลูกโดยไม่ทันได้ตั้งตัวในอ่างอาบน้ำ และทารกติดอยู่ในช่องคลอด เธอพยายามดึงทารกในครรภ์ออกมาจนหมดสติ เมื่อฟื้นขึ้นมาก็สามารถดึงทารกออกได้สำเร็จ แต่ทารกไม่มีชีวิต ตอนนั้นเธออยู่ในอาการช็อก เนื่องจากการคลอดลูกที่เจ็บปวดและกระทบกระเทือนจิตใจ
แนนซีถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาและปกปิดการตาย ซึ่งตามกฎหมายของรัฐมิชิแกนอาจได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม ศาลยังคงอยู่ระหว่างพิจารณาว่าคดีนี้สมควรจะถูกยกฟ้องหรือไม่ ตามที่มีการโต้แย้งว่า "เนื่องจากรัฐไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าทารกนั้นเกิดมามีชีวิต"
ขอบคุณข้อมูลจาก New York Post, CNN