ครม. อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ก.ไซเบอร์ คาดประกาศบังคับใช้ได้กุมภาพันธ์นี้ เพิ่มโทษเจ้าของแอปฯ-ธนาคาร-ค่ายมือถือ มีส่วนรับผิดชอบความเสียหาย เร่งรัดคืนเงินผู้เสียหายเร็วขึ้น
![ไฟเขียว หลักการ ร่าง พ.ร.ก.ไซเบอร์ คาดบังคับใช้ ก.พ. เพิ่มโทษธนาคาร-ค่ายมือถือ ไฟเขียว หลักการ ร่าง พ.ร.ก.ไซเบอร์ คาดบังคับใช้ ก.พ. เพิ่มโทษธนาคาร-ค่ายมือถือ]()
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ชี้แจงถึงรายละเอียดร่าง พ.ร.ก.ไซเบอร์ ว่ามีการแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญจากพระราชกำหนดฉบับเดิมใน 5 ประเด็น คือ
1. การกำหนดการรับผิดชอบ ของสถาบันการเงิน เครือข่ายมือถือ และสื่อสังคมออนไลน์ ที่ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น หากไม่ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้
2. กำหนดหน้าที่ของผู้ให้บริการระบบโทรคมนาคม ที่มีหน้าที่ระงับการใช้งานซิมการ์ด ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทันที
3. เร่งรัดกระบวนการคืนเงินให้กับผู้เสียหาย โดยเพิ่มหน้าที่ให้ธนาคาร ต้องส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า ที่มีความเชื่อมโยงกับการกระทำความผิด ไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เพื่อให้สามารถตรวจสอบ และสามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้เร็ว
จากเดิมการคืนเงินให้กับผู้เสียหายจะต้องผ่านขั้นตอนของกระบวนการศาล ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ถึง 2 ปี การแก้ไข พ.ร.ก. ฉบับนี้ จะทำให้สามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้เร็วขึ้น อยู่ที่ระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี
4. เพิ่มอำนาจการดำเนินการเกี่ยวกับแพลตฟอร์มการโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ซึ่งแพลตฟอร์มไหนที่มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจะต้องมีส่วนในการรับผิดชอบ
5. เพิ่มบทลงโทษการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูล คือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแบบส่ง และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแบบการซื้อ-ขาย โดยมีโทษปรับสูงสุดถึง 5 ล้านบาท และจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและจะสามารถป้องกันและปราบปรามได้มากยิ่งขึ้น ที่ประชุม ครม. จึงได้อนุมัติในหลักการและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา จากนั้นให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่าง พ.ร.ก. ไปพิจารณาปรับรูปแบบ โดยให้รับความเห็นหน่วยงานไปประกอบการพิจารณา
สำหรับร่าง พ.ร.ก. ฉบับนี้ หลัง ครม. เห็นชอบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา จะมีผลบังคับใช้ทันที ซึ่งคาดว่าจะประกาศบังคับใช้ได้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้่อหา
วันที่ 28 มกราคม 2568 เฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว รายงานว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ระบุว่า สืบเนื่องจากขณะนี้มีปัญหาอาชญากรรมเทคโนโลยีเยอะ ครม. จึงอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งจะมีการเพิ่มเติมมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และมิจฉาชีพ
ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ชี้แจงถึงรายละเอียดร่าง พ.ร.ก.ไซเบอร์ ว่ามีการแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญจากพระราชกำหนดฉบับเดิมใน 5 ประเด็น คือ
1. การกำหนดการรับผิดชอบ ของสถาบันการเงิน เครือข่ายมือถือ และสื่อสังคมออนไลน์ ที่ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น หากไม่ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้
2. กำหนดหน้าที่ของผู้ให้บริการระบบโทรคมนาคม ที่มีหน้าที่ระงับการใช้งานซิมการ์ด ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทันที
3. เร่งรัดกระบวนการคืนเงินให้กับผู้เสียหาย โดยเพิ่มหน้าที่ให้ธนาคาร ต้องส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า ที่มีความเชื่อมโยงกับการกระทำความผิด ไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เพื่อให้สามารถตรวจสอบ และสามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้เร็ว
จากเดิมการคืนเงินให้กับผู้เสียหายจะต้องผ่านขั้นตอนของกระบวนการศาล ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ถึง 2 ปี การแก้ไข พ.ร.ก. ฉบับนี้ จะทำให้สามารถคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้เร็วขึ้น อยู่ที่ระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี
4. เพิ่มอำนาจการดำเนินการเกี่ยวกับแพลตฟอร์มการโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ซึ่งแพลตฟอร์มไหนที่มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจะต้องมีส่วนในการรับผิดชอบ
5. เพิ่มบทลงโทษการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูล คือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแบบส่ง และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแบบการซื้อ-ขาย โดยมีโทษปรับสูงสุดถึง 5 ล้านบาท และจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและจะสามารถป้องกันและปราบปรามได้มากยิ่งขึ้น ที่ประชุม ครม. จึงได้อนุมัติในหลักการและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา จากนั้นให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่าง พ.ร.ก. ไปพิจารณาปรับรูปแบบ โดยให้รับความเห็นหน่วยงานไปประกอบการพิจารณา
สำหรับร่าง พ.ร.ก. ฉบับนี้ หลัง ครม. เห็นชอบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา จะมีผลบังคับใช้ทันที ซึ่งคาดว่าจะประกาศบังคับใช้ได้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว