ดังนั้น จึงได้มีการพยายามหามาตรการเพื่อป้องกันและหยุดยั้งโรคเอดส์ให้เป็นผลสำเร็จ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็น "วันเอดส์โลก" หรือ "World AIDS Day" ซึ่งเริ่มครั้งแรกในวันที่ 1 ธันวาคม 2531 โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
- เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อของโรคเอดส์ และการเจ็บป่วยจากโรคเอดส์
- เพื่อสร้างเสริมและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันโรคเอดส์ให้มากยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ
- เพื่อให้การจัดกิจกรรมต่อต้านต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
- เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อเอดส์
- เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
สัญลักษณ์วันเอดส์โลก
สัญลักษณ์ของวันเอดส์โลก คือ โบสีแดง (Red Ribbon) เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันทั่วโลก เพื่อแสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี โพซิทีฟ (HIV-positive) กับผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้เป็นเอดส์ทั้งหลาย
คำขวัญวันเอดส์โลก และธีมรณรงค์วันเอดส์โลก
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา จะมีการกำหนดธีมและคำขวัญวันเอดส์โลกขึ้น ซึ่งคำขวัญในวันเอดส์โลกแต่ละปี มีดังนี้
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2531 คือ Communication about AIDS : เอดส์ป้องกันได้ หากร่วมใจกันทั่วโลก
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2532 คือ Importance of Youth in the AIDS Epidemic : เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ช่วยผู้ตกเป็นเหยื่อเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2533 คือ Women are the Key to achieving health for all : สุขภาพดีไม่มีเอดส์ สตรีเพศเป็นแกนนำ
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2534 คือ Sharing the Challenge : ร่วมมือ ร่วมใจ ต้านภัยเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2535 คือ AIDS : A Community Commitment : เอดส์เป็นปัญหาของทุกคน ประชาชนต้องร่วมแก้ไข
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2536 คือ Time to Act : จริงจัง จริงใจ ขจัดภัยเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2537 คือ AIDS and the Family : Family Takes Care - ครอบครัวทั่วไทย ห่วงใยปัญหาเอดส์ ไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือ
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2538 คือ Share Right, Share Responsibility : เคารพสิทธิ รับผิดชอบ มอบน้ำใจ สังคมไทยปลอดเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2539 คือ One World, One Hope : โลกนี้ยังมีหวัง รวมพลังหยุดยั้งเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2540 คือ Children Living in a world with AIDS : สร้างสรรค์โลกใหม่ ให้เด็กไทยไร้เอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2541 คือ Force for change world Aids campaign with young people : คนรุ่นใหม่ ร้อยใจ รวมพลัง หยุดยั้งเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2542 คือ Listen, Learn, Live : รู้เขา รู้เรา รู้เท่าทันเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2543 คือ Men make a difference : เอดส์ลดหรือเพิ่ม เริ่มที่ผู้ชาย
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2544 คือ I care...Do you ? : เอดส์ลดแน่ ถ้าคุณร่วมแก้ไข
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2545 คือ Stigma and Discrimination - Live and Let Live : ทุกชีวิตมีคุณค่า โปรดอย่าตัดสินด้วยเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2546 คือ Stigma and Discrimination - Live and Let Live : ทุกชีวิตมีคุณค่า โปรดอย่าตัดสินด้วยเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2547 คือ Woman, girls, HIV and AIDS : เยาวชนรุ่นใหม่ เข้าใจเรื่องเพศ ร่วมป้องกันเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2548 คือ Stop AIDS Keep the promise : เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2549 คือ Stop AIDS. Keep the Promise - Accountability : เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2550 คือ Stop AIDS. Keep the Promise - Leadership : เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2551 คือ Stop AIDS. Keep the Promise - Lead - Empower - Deliver : เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2552 คือ Universal Access and Human Rights : เข้าถีงยา เข้าถึงสิทธิ พิชิตเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2553 คือ Act Aware : สิทธิทางเพศ สิทธิด้านเอดส์ คือ สิทธิมนุษยชน
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2554 คือ Getting to zero : เอดส์ ลดแล้ว ลดอีก
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2555 คือ Getting to zero : เอดส์ลดให้เหลือศูนย์ได้
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2556 คือ "Getting to zero: zero new HIV infections. Zero discrimination. Zero AIDS related deaths" เน้น zero new HIV infections ลดการติดเชื้อรายใหม่
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2557 คือ "Ending AIDS" เน้นไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา เพื่อยุติปัญหาเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2558 คือ "Ending AIDS" ตรวจเร็ว รักษาเร็ว ยุติเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2559 คือ "Leadership. Commitment. Impact." ขณะที่ประเทศไทยใช้ธีมรณรงค์ว่า "ตรวจเร็ว รักษาเร็ว ยุติเอดส์"
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2560 คือ "Right to health" สิทธิสุขภาพ ปราศจากตีตรา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2561 คือ "Know Your Status"
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2562 คือ "Communities make the difference - รวมพลังชุมชนยุติเอดส์"
ขณะที่ประเทศไทยใช้คำขวัญว่า U=U รักษาแล้วไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ โดย U หมายถึง ตรวจไม่เจอ (U=Undetectable) เท่ากับไม่แพร่เชื้อ (U=Untransmittable)
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2563 คือ "Global solidarity, shared responsibility"
ส่วนประเทศไทยใช้แนวคิดการรณรงค์ว่า คือ "WALK TOGETHER : เอดส์อยู่ร่วมกันได้ ไม่ตีตรา"
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2564 คือ "End inequalities. End AIDS"
ยุติความเหลื่อมล้ำ ยุติเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2565 คือ "Putting Ourselves to the Test : Achieving Equity to End HIV." เสี่ยง รีบตรวจรักษา ทำให้เท่าเทียมเพื่อหยุด HIV
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2566 คือ Let Communities Lead : ถึงเวลาให้ชุมชนนำทางมุ่งสู่การยุติเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก 2567 คือ Take the rights path : เคารพสิทธิ มุ่งสู่การยุติเอดส์
โรคเอดส์เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
โรคเอดส์ หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเซียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus : HIV) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า เชื้อเอชไอวี โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันต่ำลงจนร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้อีก โรคต่าง ๆ (หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า โรคฉวยโอกาส) จึงเข้ามาซ้ำเติมได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในระบบโลหิต เชื้อรา ฯลฯ ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
อย่างไรก็ตาม การที่คนเราจะได้รับเชื้อเอชไอวี หรือที่เรียกกันจนติดปากว่าติดเอดส์ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะติดกันได้ง่าย ๆ ในการใช้ชีวิตประจำวัน เว้นแต่จะมีช่องทางการติดที่เฉพาะจริง ๆ เท่านั้น โดยมีข้อสังเกตง่าย ๆ 3 ประการ ดังนี้
- ต้องได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย โดยต้องมาจากแหล่งที่มีปริมาณเชื้อมากพอที่จะทำให้ติด ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด
- เชื้อที่จะทำให้ติดต่อได้นอกจากเรื่องปริมาณแล้ว เชื้อต้องมีคุณภาพและแข็งแรง เช่น ในเลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด รวมทั้งต้องมีอาหารและมีสภาพพอเหมาะที่จะทำให้เชื้อเติบโตได้ แต่ถ้าไปอยู่ในน้ำลาย น้ำตา เชื้อไวรัสจะอยู่ในสภาพที่เป็นกรด เป็นด่าง ทำให้มันไม่แข็งแรง ไม่มีคุณภาพ เติบโตไม่ได้ หมดความสามารถที่จะทำให้ติดต่อได้
- ต้องเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการสัมผัสส่งตรงต่อเชื้อได้โดยตรง เช่น การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน หรือการร่วม โดยในกรณีการร่วมเพศ ถ้าฝ่ายชายมีเชื้ออยู่ เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุช่องคลอด หรือถ้าผู้หญิงมีเชื้ออยู่ เชื้ออาจจะผ่านเข้าสู่ร่างกายทางปลายเปิดขององคชาต
กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโรคเอดส์
กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคเอดส์ หรือ HIV ได้แก่
- ผู้สำส่อนทางเพศ หรือการมีเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อเอดส์ หรือกลุ่มรักร่วมเพศ โดยจากข้อมูลพบว่า ร้อยละ 84 ของผู้ติดเชื้อเอดส์ จะได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
- ผู้ติดยาเสพติด โดยใช้กระบอกฉีดยาหรือเข็มฉีดยาเดียวกันกับผู้ป่วยโรคเอดส์
- ผู้ที่ได้รับเลือด หรือผลิตภัณฑ์จากเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ป่วยเอดส์ หรือรับเลือดในขณะผ่าตัด
- ทารกติดเชื้อเอดส์จากมารดาที่มีเชื้อเอชไอวี โดยมารดาจะแพร่เชื้อเอดส์ไปสู่ลูกในครรภ์
สายพันธุ์ของโรคเอดส์
ในปัจจุบันพบสายพันธุ์เชื้อเอชไอวีมากกว่า 10 สายพันธุ์ กระจายอยู่ตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยพบมากที่สุดที่ทวีปแอฟริกา มีมากกว่า 10 สายพันธุ์ เนื่องจากเป็นแหล่งแรกที่พบเชื้อเอชไอวี และกระจายอยู่เป็นเวลานานกว่า 70 ปี สายพันธุ์ที่พบมากที่สุดในโลกคือ สายพันธุ์ซี มากถึงร้อยละ 40 พบในทวีปแอฟริกา อินเดีย จีน รวมทั้งพม่า ส่วนในประเทศไทยพบเชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์เอ-อี (A/E) หรือ อี (E) พบมากกว่าร้อยละ 95 แพร่ระบาดระหว่างคนที่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่แพร่ระบาดกันในกลุ่มรักร่วมเพศ และผ่านการใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้น
ขณะที่สายพันธุ์ซีเดี่ยว ๆ ยังไม่พบในประเทศไทย พบเพียงแต่สายพันธุ์อี-ซี ที่เป็นลูกผสมระหว่างสายพันธุ์อีในประเทศไทย และสายพันธุ์ซีจากทวีปแอฟริกา แต่ทั้งนี้ช่วงหลายปีก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าประเทศไทยพบผู้หญิงชาวไทย 2 คนติดโรคเอดส์สายพันธุ์ใหม่ เป็นเชื้อเอชไอวีผสมระหว่าง 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ จี และดี เรียกว่า เอจี-ดี (AG/D) และเป็นเชื้อเอชไอวีผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เอ อี และจี เรียกว่า เออี-จี (AE/G) ซึ่งคาดว่าจะติดมาจากทวีปแอฟริกา ซึ่งสายพันธุ์ดังกล่าวจะมีความเข้มข้นในน้ำเมือกหรือสารคัดหลั่งมาก ทำให้ผู้สัมผัสติดเชื้อได้ง่าย และแพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์จากทวีปอื่น
ระยะของโรคเอดส์
เมื่อติดเชื้อเอดส์แล้วจะแบ่งช่วงอาการออกเป็น 3 ระยะ คือ
1. ระยะไม่ปรากฏอาการ (Asymptomatic stage) หรือระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ
ในระยะนี้ผู้ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ ออกมา
จึงดูเหมือนคนมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนคนปกติ แต่อาจจะเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ
จากระยะแรกเข้าสู่ระยะต่อไปโดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 7-8 ปี
แต่บางคนอาจไม่มีอาการนานถึง 10 ปี
จึงทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อต่อไปให้กับบุคคลอื่นได้
เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ
2. ระยะมีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ (Aids Related Complex หรือ ARC) หรือระยะเริ่มปรากฏอาการ (Symptomatic HIV Infection) ในระยะนี้จะตรวจพบผลเลือดบวก และมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นให้เห็น เช่น
มีไข้สูงเกิน 37.8 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลานานไม่ต่ำกว่า 3 เดือน,
น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 4.5 กิโลกรัม หรือมากกว่าร้อยละ 10
ของน้ำหนักตัวเดิม ภายใน 2 เดือน, ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่งติดต่อกันนานกว่า 3
เดือน, มีเชื้อราในปากบริเวณกระพุ้งแก้มและเพดานปาก, เป็นงูสวัด
หรือแผลเริมชนิดลุกลาม และมีอาการเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน โดยไม่ทราบสาเหตุ
เช่น มีไข้ ท้องเสีย ผิวหนังอักเสบ น้ำหนักลด เป็นต้น
ระยะนี้อาจเป็นอยู่นานเป็นปีก่อนจะกลายเป็นเอดส์ระยะเต็มขั้นต่อไป
3. ระยะเอดส์เต็มขั้น (Full Blown AIDS) หรือระยะโรคเอดส์ ในระยะนี้ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะถูกทำลายลงไปมาก ทำให้เป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย หรือที่เรียกว่า "โรคติดเชื้อฉวยโอกาส" ซึ่งมีหลายชนิด
แล้วแต่ว่าจะติดเชื้อชนิดใด และเกิดที่ส่วนใดของร่างกาย
หากเป็นวัณโรคที่ปอดจะมีอาการไข้เรื้อรัง ไอเป็นเลือด
ถ้าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อ Cryptococcus
จะมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง คอแข็ง คลื่นไส้ อาเจียน
หากเป็นโรคเอดส์ของระบบประสาทก็จะมีอาการความจำเสื่อม ซึมเศร้า
แขน-ขาอ่อนแรง เป็นต้น ส่วนใหญ่เมื่อผู้เป็นเอดส์เข้าสู่ระยะสุดท้ายนี้แล้วโดยทั่วไปจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 1-2 ปี
ยารักษาโรคเอดส์
ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ มีแต่เพียงยาที่ใช้เพื่อยับยั้งไม่ให้ไวรัสเอดส์เพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ไม่สามารถกำจัดเชื้อเอดส์ให้หมดไปจากร่างกายได้ ยาต้านไวรัสเอดส์ในปัจจุบันมี 3 ประเภท คือ
1. Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) ได้แก่ AZT ddl ddC d4T 3TC ABC รับประทานยาต้านไวรัสเอดส์
2. Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs) ได้แก่ NVP EFV
3. Protease Inhibitors (Pls) ได้แก่ IDV RTV Q4V NFV
หากรับประทานยาต้านไวรัสเอดส์แล้วอาจมีผลข้างเคียง คือ คลื่นไส้ อาเจียน มีผื่นตามผิวหนัง โลหิตจาง ฯลฯ ดังนั้น การรับประทานยาเหล่านี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์
ความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์
จากข้อมูลทางการแพทย์ระบุชัดว่า เชื้อเอชไอวีไม่สามารถแพร่สู่กันได้โดยการติดต่อในชีวิตประจำวันกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และไม่สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางการกอด การสัมผัสมือที่เป็นการทักทายแบบชาวตะวันตก หรือการปฏิสัมพันธ์ภายนอกอื่น ๆ เช่น การใช้ห้องน้ำร่วมกัน การใช้เตียงนอนร่วมกัน การใช้อุปกรณ์รับประทานอาหารหรือรถแท็กซี่ร่วมกัน
นอกจากนี้เอชไอวีไม่ใช่โรคติดต่อทางอากาศเหมือนกับไข้หวัด และไม่ติดต่อผ่านทางแมลงหรือยุง โดยทั่วไปแล้วเชื้อเอชไอวีติดต่อกันผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า กว่าร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ติดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน การแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกาย เช่น อสุจิ เลือด หรือของเหลวในช่องคลอด นอกจากนี้เชื้อเอชไอวียังสามารถติดต่อผ่านทางการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ฉีดยาร่วมกันของผู้ใช้ยาเสพติด ขณะที่ผู้หญิงตั้งครรภ์สามารถแพร่เชื้อไปสู่ลูกได้ในระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด และการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่
สถานการณ์โรคเอดส์ทั่วโลก
โรคเอดส์ เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี พ.ศ. 2424 โดยพบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จากชายรักร่วมเพศคนหนึ่ง เมื่อศึกษาย้อนหลังพบว่า โรคเอดส์นี้มีต้นกำเนิดในบริเวณทวีปแอฟริกาตะวันตก ก่อนจะแพร่ไปยังทวีปอื่น ๆ ทั่วโลก และอัตราผู้ป่วยโรคเอดส์เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา
โดยข้อมูลจากหน่วยงานผู้นำด้านการยุติการติดเชื้อเอชไอวี การเลือกปฏิบัติและการเสียชีวิตจากโรคเอดส์ (UNAIDS) เผยว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2562-2564 ที่มีโควิด 19 ระบาดทั่วโลก ทำให้อัตราการควบคุมโรคเอดส์และการติดเชื้อเอชไอวีหยุดชะงัก จึงมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในแถบเอเชียแปซิฟิกที่ติดเชื้อกันมากในกลุ่มวัยรุ่น วัยเรียน เด็กผู้หญิง และในกลุ่มชายรักชาย สวนทางกับทางทวีปแอฟริกาที่มีอัตราการติดเชื้อเอชไอวีในประชากรลดลง
ขณะที่รายงานของโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) พบว่า ในปี 2566 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกสะสมประมาณ 39.9 ล้านคน เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 1.3 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ ประมาณ 630,000 คน
สถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย สำนักระบาดวิทยารายงานสถานการณ์ผู้ป่วยเอดส์และผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการในประเทศไทย (ข้อมูลปี 2566) พบผู้ป่วยเอดส์ที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 576,397 คน อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 12,072 คน และคาดประมาณผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 9,083 คน โดยเป็นการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันถึงร้อยละ 96
ทั้งนี้ ประเทศไทยตั้งเจตนารมณ์ไว้ว่า ภายในปี พ.ศ. 2573 จะต้องยุติปัญหาเอดส์ 3 ประการ คือ "ไม่ตาย ไม่ติด ไม่ตีตรา" โดยลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ให้เหลือปีละไม่เกิน 1,000 คน ลดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อเอชไอวีเหลือปีละไม่เกิน 4,000 คน และลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะลงเหลือไม่เกินร้อยละ 10
การป้องกันตัวเองจากโรคเอดส์
เราสามารถป้องกันโรคเอดส์ได้โดย1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
2. รักเดียวใจเดียว
3. ก่อนแต่งงาน หรือมีบุตร ควรตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และขอรับคำปรึกษาเรื่อง โรคเอดส์ จากแพทย์ก่อน
4. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดใช้สารเสพติดทุกชนิด
หน่วยงานที่ให้การบริการปรึกษาปัญหาสุขภาพ และโรคเอดส์
ผู้ที่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับโรคเอดส์เพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่
- กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โทร. 0 2286 0431, 0 2286 6382
- คลีนิคนิรนาม สภากาชาดไทย โทร. 0 2253 7575
- โรงพยาบาลบำราศนราดูร โทร. 0 2590 3967, 0 2590 3968
- กองควบคุมโรคเอดส์ กทม. โทร. 0 2860 8751-6
- มูลนิธิศูนย์ฮอตไลน์ โทร. 0 2277 7699, 0 2277 8811 (โทร. ฟรี)
- มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ โทร. 0 2372 2113, 0 2372 2114
- สถานบริการสาธารณสุข และโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง
มาช่วยกันรณรงค์หยุดยั้งโรคเอดส์ อันตรายใกล้ตัวคุณ ในวันที่ 1 ธันวาคม นี้ ด้วยกันนะคะ โดยผู้ที่ประเมินว่าตนเองมีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวี สามารถเข้ารับคำปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้ฟรีที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง เพื่อให้รู้สถานะการติดเชื้อของตนเอง เพราะหากรู้ว่าติดเชื้อเอชไอวีจะได้เข้ารับการรักษาทันที ทำให้วางแผนดูแลสุขภาพได้อย่างรวดเร็ว เป็นการหยุดการแพร่ระบาดเชื้อเอชไอวีได้อีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดข้อมูลและสื่อต้นแบบได้ที่เว็บไซต์ กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ddc.moph.go.th/das หรือหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422