
74 ปี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ถอยหลังตั้งหลักที่เมืองกาญจน์ (มติชน)
หลังเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่มคนเสื้อเหลือง ซึ่ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นหนึ่งในห้าแกนนำ ที่นำการชุมนุมและปราศรัยบนเวทีขับไล่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ต่อเนื่องถึงรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ประกาศชัยชนะหลังกิน - นอนอยู่ในทำเนียบรัฐบาลถึง 193 วัน
จากนั้นช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงก่อนการตั้งพรรค "การเมืองใหม่" พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ฉายามหา 5 ขัน เดินทางกลับไปตั้งหลักพักฟื้นที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี
ก่อนที่พรรคการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรจะถือกำเนิดได้ 2 - 3 วัน "มติชน - ประชาชื่น" มีโอกาสเดินทางไปเยือนเมืองเล็กๆ กลางหุบเขาแห่งนี้ที่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 16 ซึ่งเป็นที่มั่นของมหาจำลอง
เพราะนอกจากจะเป็นแกนนำม็อบอย่างที่คุ้นเคยกันแล้ว พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยังเป็นเจ้าของโรงเรียนผู้นำ หรือสถาบันฝึกอบรมผู้นำมูลนิธิ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี ดูแลรับผิดชอบการดำเนินงานของ คลีนิคไตเทียม บริษัทเท่าทุน และ สถานสงเคราะห์สัตว์ (สุนัข - แมวเร่ร่อนจรจัด) ที่เรียกว่า "สวนสัตว์เลี้ยง"
จากเส้นทางบริเวณแยกศาลากลาง จ.กาญจนบุรี ไปทาง อ.บ้านเก่า ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงถึงหลัก กม.ที่ 16 เลี้ยวด้านขวามือเป็น "สวนสบาย" แสดงว่าเดินทางมาถึงโรงเรียนผู้นำของ พล.ต.จำลองแล้ว
สภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า พื้นที่ 500 ไร่ ผิดหูผิดตาจากที่เคยเห็นเมื่อสองสามปีก่อน จากพื้นที่โล่งต้นไม้ยังไม่โต เดี๋ยวนี้กลับเป็นสีเขียวครึ้ม ร่มรื่น พร้อมกับบ้านไม้หลังเล็กๆ สร้างคล้ายบ้านรีสอร์ทเรียงรายเป็นโซนๆ เต็มพื้นที่ประมาณ 100 หลัง มีชื่อเรียกขานไพเราะ อาทิ ราชพฤกษ์ ดอกแก้ว ลีลาวดี อัญชัน บุหงาส่าหรี ฯลฯ
นอกเหนือจากบ้านไม้ที่ใช้เป็นบ้านพักของผู้เข้ารับการอบรมแล้ว ภายในบริเวณยังมีสระน้ำขนาดใหญ่ ร้านค้าขายของที่ระลึกของมูลนิธิและของใช้เล็กๆ น้อยๆ ที่จำเป็น เช่น ยาสีฟัน สบู่ เสื้อผ้า รองเท้าแตะ ฯลฯ
วันที่ไปถึงมีการอบรมผู้นำที่มาจากภาคใต้ เจ้าของหลักสูตรเลยต้องทำหน้าที่วิทยากรตลอดช่วงเช้า กว่าจะมีเวลาสนทนากันก็ตกบ่ายโมงแล้ว
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยังดูแข็งแรงเช่นเคย เพียงแต่หน้าตาที่ดูสดชื่นกว่าตอนอยู่บนเวทีพันธมิตร และดูสูงอายุสุขุมมากขึ้น หลังทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบและบอกเล่าถึงเรื่องสุขภาพ เจ้าของบ้านยิ้มรับคำชม ร้องบอกว่า "ตอนนี้ผมอายุ 73 ปี 10 เดือน 24 วัน แล้วนะ แต่ยังต้องสอนเกือบทุกวัน เพราะคนที่มาสถาบันฝึกอบรมส่วนใหญ่มาจากตำบล อำเภอ จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ มาถึงตอนนี้มีคนรับการอบรมไปแล้วหลายร้อยรุ่น ล่าสุดคือรุ่น ที่ 589"
น้ำเสียงบ่งบอกถึงความภาคภูมิใจกับความสำเร็จที่ผ่านมา และหากจะนับเป็นตัวบุคคลแล้ว พล.ต.จำลองบอกว่า มีผู้ผ่านการอบรมและผ่านการทดสอบไปแล้วจากสถาบันนี้กว่า 60,000 คนในระยะ 23 ปี
"การอบรมของที่นี่รุ่นหนึ่งประมาณ 100 คน อบรม 4 วัน 3 คืน แรกๆ ที่ทำงานอาจจะออกมายังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่พอมาถึงตอนนี้ ผมบอกได้เลยว่ามีการพัฒนาขึ้นเจริญขึ้นตามลำดับ อย่างที่เห็นพื้นที่ของเราตอนนี้ต้นไม้ใหญ่โตขึ้นจึงร่มรื่นมาก เรียกว่าเจริญไปตามเวลา"

พล.ต.จำลองบอกว่า หากจะนับวันเวลาที่มาอยู่ จ.กาญจนบุรี ก็ปาเข้าไป 14 ปีแล้ว
"ชีวิตผมที่นี่เรียกว่าเป็นที่สำหรับพักเอาแรง เสร็จจากการชุมนุมแล้วก็มาพักที่นี่ มีความสุขดี เช้าๆ ออกกำลังกายปีนภูเขา เข้าถ้ำ เลยทำให้เรายังแข็งแรงดี"
พล.ต.จำลองเล่าทบทวนถึงความเป็นมาของโรงเรียนผู้นำว่า สาเหตุที่ตั้งเพราะในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ได้ทำหน้าที่เป็น "ผู้นำ" มาตลอด แม้กระทั่งเป็นนักเรียนก็เป็นหัวหน้านักเรียน เคยเป็นผู้นำหน่วยทหาร เคยเป็นผู้นำพรรคการเมือง และเป็นผู้นำม็อบ
"ผมมาคิดๆ ดูงานไหนจะทำได้สำเร็จขึ้นอยู่กับผู้นำเป็นส่วนใหญ่ ถ้าได้ผู้นำที่ครบพร้อมทั้งเก่งทั้งดี ก็จะดีทีเดียว แต่ผู้นำส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องของความเก่ง แต่เรื่องความดีไม่ค่อยมีเป็นชิ้นเป็นอัน จากจุดนี้จึงเห็นว่าน่าจะนำสิ่งที่เขาขาดมาเสริมเติมแต่งให้เต็ม ดังนั้น จึงเกิดเป็นโรงเรียนผู้นำขึ้น แต่ไม่พูดถึงเรื่องวิชาการ เทคนิคการบริหารเท่าไหร่นัก จะพูดถึงการสรรค์สร้างคุณงามความดีมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างยิ่งในตัวผู้นำในสังคมไทย"
ความหมายของ พล.ต.จำลองก็คือ ผู้นำส่วนมากในไทยยังขาดเรื่องของคุณธรรมนั่นเอง
"ก่อนจะเป็นการอบรมเรื่องคุณธรรม ต้องอบรมการพัฒนาตัวเองก่อนใน 6 คุณลักษณะ คือ อันดับแรกให้สะอาดทั้งกายและใจเพิ่มมากขึ้น มีความขยันประหยัดมากขึ้น รู้จักเสียสละและกตัญญู ต่อมาคือเรื่องของการโน้มนำตัวอย่างมาจากประสบการณ์ของครูอาจารย์ ที่เคยพลั้งพลาดมาแล้วมาปรับปรุงตัวเอง โดยดำรงอยู่ในวิถีชีวิตที่พอเพียง ที่สำคัญคือมีส่วนช่วยให้ชุมชนเข้มแข็ง นิยมความเป็นไทยด้วยการปฏิบัติอย่างแท้จริง"
เมื่อคนฟังออกจะงงๆ กับคุณลักษณะข้อนี้ มหาจำลองยกตัวอย่างให้ฟัง อาทิ เรื่องของสินค้าของคนไทยให้ช่วยกันอุดหนุน อย่างเวลาเติมน้ำมันก็จะเต็มปั๊มของไทย หรือซื้อของในห้าง ก็ต้องเป็นห้างของคนไทย ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ต่างชาติ เป็นต้น
"ถ้าพวกเขาที่มาอบรมทำแบบนี้ได้ ถือว่าเป็นการช่วยกู้ชาติ ถ้าพวกเขาทำแบบนี้ พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นสะอาด ซื่อสัตย์ ประหยัด จะไม่ใช่เป็นเพียงคนดียิ่งขึ้นของสังคม ครอบครัว แต่จะเป็นคนหนึ่งที่ช่วยกู้ชาติ"
การอบรมของสถาบันแห่งนี้ พล.ต.จำลองเล่าว่า มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่เข้ามารับการอบรม ซึ่งก็ใช้หลักอันเดียวกัน อาจแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด ส่วนวิทยากร นอกจากเจ้าของคือ พล.ต.จำลองแล้ว ยังมีวิทยากรรับเชิญมาจากข้างนอก เช่น นพ.เฉก ธนะศิริ
"จะว่าไปสถาบันนี้มีผมคนเดียวเป็นครูใหญ่ ครูพิเศษ ก็คือคุณหมอเฉก นอกนั้นเป็นผู้ช่วยครู แล้วที่แปลกนะ ถือเป็นกฎเลยการมาอบรมที่สถาบันของเราจะกำหนดไว้ว่าหนึ่งคณะมาได้ครั้งเดียว มาซ้ำกันไม่ได้ เพราะต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นบ้าง
"สถาบันแห่งนี้ (โรงเรียนผู้นำ) คืออนาคตของผม จำได้ไหมเมื่อ 20 ปีก่อนที่ผมอยู่ในวงการเมืองเต็มตัว มีคนถามผมว่าอนาคตคืออะไร? คาดว่าผมจะเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมือง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ อนาคตของผมคือเป็นคนชื่อจำลองเฉยๆ เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ปฏิบัติและลดกิเลส ช่วยเหลือสังคม"
หลังเงียบกันไปพักหนึ่ง เมื่อถูกถามว่า ผิดหวังหรือจึงมายึดที่มั่นอยู่ตรงนี้ เจ้าของสถาบันอบรมผู้นำกล่าวขึ้น "ผมไม่ได้ผิดหวัง ถ้าผมหวังเป็นใหญ่เป็นโตทางเมืองผมไม่หยุดหรอก ผมก็จะเป็นนักการเมืองต่อไป ผมยังเป็นได้ ไม่ใช่สิ้นไร้ไม้ตอก
"เอาอย่างนี้ดีกว่าไม่ใช่อวดตัวอวดตน นักการเมืองที่อยู่ในปัจจุบัน ไม่มีนักการเมืองคนไหนที่ทำเรื่องพรรคการเมืองมาเหนื่อยเท่าผม หนักเท่าผม ไม่มี ส่วนใหญ่แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน อยู่ไปเรื่อยๆ .." เสียงหัวเราะดังลั่น

ชีวิตช่วงปัจฉิมวัยของชายคนที่ชื่อจำลอง เขาบอกว่า นอนตื่นตีสี่ครึ่ง แล้วออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนวันละ 1,000 ครั้ง เดินอีกครึ่งชั่วโมง แล้วว่ายน้ำ เป็นสระว่ายน้ำที่สร้างขึ้นมาเองมีความลึกเท่ากันตลอดสระ คือ 1.20 เมตร หลังจากนั้น ราวสิบโมงเป็นเวลารับประทานอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อเดียวตลอดทั้งวัน นอกนั้น จะดื่มน้ำไม่มีการกินอีก
การทำหน้าที่บนถนนการเมืองของชายคนนี้ที่ผ่านมาถือว่าเหน็ดเหนื่อยเอาการ ในวัย 73 ย่าง 74 เพราะบทบาทของเขายังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเกิดขึ้นของพรรคที่ชื่อ "พรรคการเมืองใหม่" อนาคตข้างหน้าขีดเส้นใต้คำว่า เหนื่อย-หนัก
"แม้ว่าจะเหนื่อยกว่าเก่าหลายเท่า แต่ถ้าเหนื่อยแล้วทำให้บ้านเมืองดีขึ้น ผมยอมเหนื่อยครับ"
เบื้องหลัง"พรรคการเมืองใหม่"

คิดตั้งพรรคการเมืองตอนไหน?
พล.ต.จำลอง : ยืนยันอีกทีว่าไม่เคยคิดตั้งพรรคกันเลยตลอดระยะเวลาของการชุมนุม 193 วัน ไม่มีการพูดไม่มีการคิด จนกระทั่งสถานการณ์มันบังคับ อย่างที่รู้กัน เมื่อเราเรียกร้องเป็นผลสำเร็จ เราก็หยุด แล้วประชาชนรวมทั้งพวกเราด้วยก็เข้าใจว่าการเมืองมันจะดีขึ้น
...แต่มันกลับไม่ใช่ เขาเริ่มคิดจะแก้รัฐธรรมนูญกัน พันธมิตรจึงเริ่มพูดถึงการตั้งพรรคการเมือง ก็พูดกันว่าต้องทำการเมืองใหม่ขึ้นมาแล้ว เริ่มพูดกันตอนจัดคอนเสิร์ตการเมืองหลายเวที เจอกันเวทีไหนก็พูด
ความคิดนี้เริ่มจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล
พล.ต.จำลอง : ไม่ใช่ เป็นความคิดของสมาชิกพันธมิตร เริ่มจากชาวบ้าน แต่คุณสนธิเป็นคนใช้คำว่า "การเมืองใหม่"
การเมืองเก่า การเมืองใหม่ ในความหมายคือ?
พล.ต.จำลอง : การเมืองเก่า คือการเมืองที่เต็มไปด้วยการทุจริต ฉ้อโกง เล่นพรรคเล่นพวก ข่มเหงรังแกข้าราชการประจำ โกงกินกันอย่างมโหฬาร ส่วนการเมืองใหม่ คือ การเมืองที่ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ และมีประสิทธิภาพ
พอมีความคิดเรื่องตั้งพรรคบรรดาแกนนำทำอย่างไร
พล.ต.จำลอง : เดิมผมก็ไม่เอาด้วยนะ แต่เมื่อเป็นเสียงส่วนใหญ่ ก็ให้ไปทำรายละเอียดมา ทีแรกคิดว่าไม่ทันเพราะใช้เวลา 1 เดือน คือเป็นการพูดคุยกันไม่เชิงขึงขังว่าต้องตั้งหรือไม่ตั้งพรรค ไปประชุมกันที่บ้านพระอาทิตย์นั่นแหละ ประชุมกันหลายครั้งหลายหน ที่สุดก็สรุปออกมาว่าต้องตั้ง
จากประสบการณ์เลยเอามาจากพรรคพลังธรรม
พล.ต.จำลอง : ไม่ ไม่ เราไม่ได้เอาพรรคพลังธรรมมาเป็นตัวตั้ง จะเอามาจากไหนก็ได้ถ้าเป็นเรื่องที่ดี เขากำหนดต้นแบบมาแล้ว แต่ที่กำหนดมาแล้วก็ตรงกับพรรคพลังธรรมทั้งนั้น คือซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ มีประสิทธิภาพ ก็ตรงกัน ไม่เห็นเป็นอะไร

แล้วประสบการณ์การเอาคนอื่นมาเป็นหัวหน้าพรรค
พล.ต.จำลอง : ใช่ บ้านเมืองมันเลยวุ่นวาย (หัวเราะ) นี่คือจำเลยหมายเลข 1 ใช่ไหม ถ้าไม่เอาเขามาเป็นหัวหน้าพรรค เขาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ทันหรอก คงรู้นะวันเปิดตัวที่ศูนย์สิริกิติ์ โอ้โฮ...ไปดูแล้วมีแต่พลังธรรมทั้งนั้น ร้อยละ 80 - 90 นั่นแหละเราเลยต้องไปกินไปนอนกลางถนนเพื่อใช้หนี้
เรื่องทุนของพรรคการเมืองใหม่มีปัญหาไหม?
พล.ต.จำลอง : ทุนไม่เป็นปัญหาหรอก หาไม่ยาก เรื่องจำนวน ส.ส.ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แน่นอนว่าถ้ามีการยุบสภา ประกาศเลือกตั้งเราส่งได้ครบทุกจังหวัด เรามีคนรู้เรื่องการเมืองเยอะแยะในบ้านเมืองนี้ แต่เรื่องเป้าหมายสำคัญ เรายืนยันคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ 3 มาตรา คือมาตรา 190, 237 และ 309
พรรคการเมืองใหม่สันติอโศกต้องเข้ามาช่วย?
พล.ต.จำลอง : ไม่รู้ แล้วแต่ คือผมไม่ได้ผูกติดกับชาวกองทัพธรรมนะ ถึงแม้ผมเป็นประธานมูลนิธิกองทัพธรรมอยู่ผมก็ไม่ได้ผูกติด
กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล สนิทกันได้อย่างไร?
พล.ต.จำลอง : ไม่ได้สนิทกัน หลายคนเข้าใจผิดว่าผมออกไปช่วยคุณสนธิ ไม่ใช่!! ผมติดตามข่าวคราวเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณมาโดยตลอด แล้วผมมาตัดสินใจตอนที่เขาขายหุ้นให้เทมาเส็ก สิงคโปร์ นั่นคือจดหมายรักฉบับที่ 1 ผมเขียนบอกว่า เขาทำไม่ถูกในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี มันจำเป็นอะไรที่ต้องขายหุ้นไป คนอื่นจะว่ายังไง บ้านเมืองอยู่ไม่ได้แล้วนายกฯยังขายหุ้นให้สิงคโปร์
แต่นั่นยังไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือ เขาไม่เสียภาษี เขาอ้างกฎหมาย เราก็รู้ว่ากฎหมายเขาสนับสนุนด้วย ใช่ไหม? ถึงแม้จะอ้างคนอื่น ออกกฎหมายวันนี้อีกสองวันขายหุ้นเลย มันหมายถึงอะไร ผมเลยบอกว่า ควักออกมาซะดีๆ สองหมื่นหกพันล้าน ผมคิดให้เรียบร้อยแล้ว เสร็จแล้วที่สำคัญคือหุ้นชินคอร์ป มันรวมถึงดาวเทียมด้วย ดาวเทียมนี่แหละเป็นเครื่องสืบราชการลับเป็นอย่างดี นายกรัฐมนตรีไม่ใช่คนธรรมดานะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ แล้วคุณไปขายส่วนหนึ่งที่มันเกี่ยวกับความมั่นคงมันถูกที่ไหน
และยิ่งกว่านั้นอีก เป็นเพราะท่านโพธิรักษ์ ตอนนั้นมีงานปฏิบัติธรรมที่สาลีอโศก จ.นครสวรรค์ ท่านโพธิรักษ์ให้คนมาตามผมไป ท่านเองก็ติดตามการเมืองมาตลอด ตอนนั้นหนังสือของสันติอโศกชื่อ "เราคิดอะไร" กำลังจะตีพิมพ์ออกมา พระท่านว่าฉบับต่อไปจะใช้ชื่อ "ฉันโง่เพราะหลงส่งเสริมเขา" เรื่องนี้ก็แล้วแต่คุณจำลองนะ เราก็รู้แล้วว่าท่านคิดยังไง ผมเลยตัดสินใจออกไป ก่อนตัดสินใจยังเขียนจดหมายไปบอกเขานะถ้าคุณไม่หยุดผมจะออกไป
แล้วไปร่วมมือกับนายสนธิ
พล.ต.จำลอง : เวลาเราทำอะไรอาจจะตรงกับบางคน ไม่ตรงกับบางคน คุณสนธิเขาเคยพาผมไปคุยกับเตี่ยเขาที่วิสุทธิกษัตริย์ ผมจำได้บ้านอยู่แถวนั้น เมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว เมื่อตอนที่เขาตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการใหม่ๆ ผมเป็นนักการเมืองคนเดียวที่เขาเชิญไปในวันครบรอบการก่อตั้ง ไปพูดให้กำลังใจพนักงานของเขา
แต่ต่อมาตอนหลังเขาก็ว่าผม ซึ่งผมไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า ก็ไม่เป็นไร ที่ผมไม่โกรธเพราะเป้าหมายเราตรงกัน ที่สำคัญเขาเป็นกำลังหนึ่งในการชุมนุม ผมแก่กว่าเขา-เขาก็ฟังผมนะในที่ประชุม
กับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีโอกาสคุยกันไหมหลังเกิดเรื่อง
พล.ต.จำลอง : วันนี้ถ้าผมเจอเขา ผมยังถือว่าเขาเป็นน้องผมนะ ไม่ได้โกรธเขา ไม่ใช่ว่าผมบรรลุธรรม ก็เปล่า คือเหตุการณ์ที่แล้วมามันอย่างนี้ ว่าผมฝากน้องผมไปทำงานในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เสร็จแล้วผมรู้ว่าน้องผมทำผิด ผมสะกิดให้น้องผมออกมาตั้งตัวใหม่แล้วเข้าไปทำงานต่อ
ผมคิดอย่างนี้จริงๆ ผมเขียนจดหมายรักถึงเขา 4 ฉบับ ผมยังเก็บไว้เลย เป็นจดหมายเปิดผนึก คุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ (นักเขียน) ยังบอกให้ผมเก็บไว้ให้ดีเพราะเป็นประวัติศาสตร์
ตั้งแต่เขาไปอยู่ต่างประเทศ มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนร่วมรุ่นถามผมว่า ทักษิณควรจะทำยังไง ผมบอกว่า ทักษิณควรจะกลับมาสู้คดี และไม่ควรพูดอะไร ยิ่งพูดยิ่งเสีย เขาก็บอกว่า ขอให้ผมพูดกับทักษิณหน่อย ผมบอกไม่ได้หรอก เพราะถ้าสื่อรู้เอาไปเขียนเอาเองว่าพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมตายเลย
ผมว่าเอาอย่างนี้ดีกว่าถ้าเขาจะพูดอะไรก็ติดต่อคุณมาแล้วคุณมาบอกผม นั่นแหละแค่ครั้งนั้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก![]()
โดย ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
- หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
- หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
- หนังสือพิมพ์มติชน






