ชื่อของ "ปลาวาฬ อิสสระ" หรือ "วรสิทธิ์ อิสสระ" เป็นที่รู้จักกันมานานแล้วในแวดวงธุรกิจ และไฮโซ ในฐานะนักธุรกิจหนุ่มเจ้าของโรงแรมศรีพันวา จังหวัดภูเก็ต และชื่อของเขาก็กลายเป็นข่าวดังในหน้าหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ต้นปี 2555 เมื่อ "ปลาวาฬ อิสสระ" ถูกการ์ดของผับในภูเก็ตรุมทำร้ายจนบาดเจ็บ โชคดีที่อาการของ "ปลาวาฬ อิสสระ" พ้นขีดอันตรายแล้ว โดยมี "แพร ปาลาวี บุนนาค" ภรรยาคู่ชีวิตคอยดูแลและเป็นกำลังใจให้
อยากรู้ไหมว่า ความรักของคนคู่นี้เริ่มต้นมาจากจุดไหน และพวกเขามีมุมมองในเรื่องของความรักอย่างไร ลองย้อนไปติดตามรายการสุริวิภา ที่ออกอากาศไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554 กันค่ะ
โดย แพร ปาลาวี บุนนาค บอกว่า ตอนนั้นเธอทำงานอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต และ ปลาวาฬ ก็มีมารับมาส่ง ซึ่งเธอยอมรับว่า ตอนแรกไม่รู้เลยว่า ปลาวาฬ เข้ามาจีบ จนมีวันหนึ่งไปปาร์ตี้ และปลาวาฬก็ส่งเมสเสจมาทำนองชมเธอว่าสวยที่สุดในโลก แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไรอีก แต่ ปลาวาฬ ก็ยังเทียวส่งอีเมลมาหาเรื่อย ๆ ตอนนั้นก็เริ่มรู้แล้ว
และหลังจากศึกษาดูใจกันมาพักหนึ่ง ในที่สุด ทั้งสองคนก็ตัดสินใจเข้าสู่ประตูวิวาห์ ซึ่งหลาย ๆ คู่หลังแต่งงานกันแล้วมีหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป แต่สำหรับคู่ของ แพร ปาลาวี และ ปลาวาฬ บอกว่า ชีวิตก่อนแต่งงานและหลังแต่งงานก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง แม้ทั้งคู่จะมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำอยู่คนละที่ก็ตาม โดย แพร ปาลาวี ทำงานเป็นทนายความอยู่ที่กรุงเทพฯ ส่วนปลาวาฬบริหารงานโรงแรมอยู่ที่ภูเก็ต
"หลังจากแต่งงาน คุณแม่ของวาฬก็ส่งอีเมลมาให้แนะนำวิธีการใช้ชีวิตคู่ อย่างบอกห้ามห่างกันนานเกิน 2 อาทิตย์ ข้อนี้ก็ทำให้ต้องบินไปหาอีกฝ่ายอยู่เสมอ ๆ เช่น ถ้าวาฬไม่ว่าง มาหาแพรไม่ได้ แพรก็จะบินไปหาเอง ถ้าวาฬว่างก็จะไปหาแพรที่กรุงเทพฯ เพื่อจะได้เจอหน้ากัน หรืออย่างอีกข้อที่บอกให้คุยโทรศัพท์กันทุกวัน อย่าให้ความห่างเป็นความเคยชิน เดี๋ยวจูนกันติดยาก และก็ถ้ามีเรื่องอะไร ก็ให้บอกคุณแม่ได้ทุกเรื่อง เราก็เลยแชทกับคุณแม่ทุกวัน" แพร ปาลาวี บอก
แพร ปาลาวี ยังเผยด้วยว่า เธอรู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่ได้คุณแม่ปลาวาฬคอยสอน เพราะคุณแม่น่ารักมาก ๆ อย่างเช่นวันแต่งงาน เธอร้องไห้ทำนองว่าจะสูญเสียอิสรภาพอีกแล้วเหรอ ต้องกลับไปอยู่โรงเรียนประจำอีกแล้ว (หัวเราะ) แล้ววันนั้นก็มีคนบอกฤกษ์ส่งตัวผิด บอกไปว่าทุ่มนึง แต่จริง ๆ เป็น 5 โมง คุณแม่ปลาวาฬเลยต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์มาเลย เพื่อมาให้ทัน
และด้วยความที่ปลาวาฬเป็นคนอารมณ์ร้อน แพรก็เลยตกลงกับปลาวาฬว่า ขอให้เบาเรื่องนี้ลงหน่อย ซึ่งตอนนี้ก็เบาลงมาก ๆ แล้ว และจริง ๆ แม้ว่าปลาวาฬจะเป็นคนอารมณ์ร้าย แต่พอทุกอย่างจบก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่มีอะไร ขณะที่ปลาวาฬรีบชี้แจงว่า ที่อารมณ์ร้ายส่วนใหญ่เรื่องงานทั้งนั้น เรื่องส่วนตัวไม่ค่อยเป็น
ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตคู่นั้น ปลาวาฬ บอกว่า ต้องให้อิสระแต่ละฝ่าย โดยเขาดูจากพ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา และก็ซึมซับวิธีการดูแลครอบครัวจากคุณพ่อคุณแม่มา ขณะที่ครอบครัวของแพร คุณพ่อคุณแม่ก็สอนตั้งแต่วันที่ปลาวาฬไปสู่ขอว่า เราไม่ได้ต่างคนต่างอยู่อีกแล้ว เวลาทำอะไรต้องนึกถึงอีกฝ่าย และต้องมาเป็นคู่ พร้อมกับสอนให้รู้จักการให้อภัยกัน เข้าใจกัน ถึงตรงนี้ ปลาวาฬ แทรกขึ้นว่า เรื่องให้อภัยนี่ทำให้เขาต้องมีความเมตตาอย่างสูง ความอดทนอย่างมาก และต้องอย่าโทษคนไหนผิด แต่หากผิดจริงก็ต้องยอมรับ
ส่วนเรื่องการทำงาน ในเมื่อทั้งสองคนเป็นหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่มากความสามารถก็เลยได้คอยช่วยเหลืองานของแต่ละฝ่าย อย่างเช่น แพร ปาลาวี ที่บอกว่า เธอได้คอยช่วยงานเรื่องกฎหมายในธุรกิจของปลาวาฬ และแต่ก่อนเธอไม่มีหัวทางธุรกิจเลย แต่พอมาคบกับปลาวาฬ ก็ได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจ เรื่องการเอ็นเตอร์เทนคนมากขึ้น ได้รู้วิธีการพูดคุยกับคน ทำให้งานดีขึ้น ลูกความก็กลายเป็นเพื่อนไปเลย ฟากปลาวาฬบอกว่า ได้เรียนรู้เรื่องกฎหมาย และขอคำแนะนำเรื่องกฎหมายจากแพร
และสำหรับมุมมองการใช้ชีวิตคู่ของทั้งสองคนนั้น ปลาวาฬและแพรบอกตรงกันว่า คู่ของพวกเขาเป็นไปอย่างสบาย ๆ คือ ไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะความคาดหวังทำให้เป็นทุกข์ ให้อยู่กับปัจจุบันดีกว่า และที่สำคัญคือ ห้ามเอาประสบการณ์เก่า ๆ มาพูดมาบ่นกัน
"ด้วยความที่ทั้งสองคนมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก ๆ และมีไลฟ์สไตล์ต่างกัน เราก็เลยคุยกันตั้งแต่แรกแล้วว่า เราต้องปล่อย ต้องทำเพื่อความสุขของตัวเอง อย่าพยายามเปลี่ยนอะไรเพื่อใคร หรือทำให้คนอื่นพอใจ ต้องเป็นตัวของเราเอง เพราะตารางชีวิตเราเป็นคนละแบบ" ปลาวาฬ ทิ้งท้าย
พูดถึงมุมมองด้านความรักไปแล้ว ลองไปดูมุมมองเรื่องการใช้ชีวิต และการทำงานบ้างดีกว่า เพราะต้องยอมรับว่า "ปลาวาฬ อิสสระ" คนนี้ คือผู้บริหารหนุ่มที่สามารถเนรมิตแหลมพันวาให้กลายเป็นโรงแรมหรู 6 ดาว จนติดอันดับโลก อะไรที่ทำให้ชายหนุ่มคนนี้ประสบความสำเร็จ และได้รับการยอมรับในวัยเพียงแค่ 31 ปี ลองไปฟังคำตอบจากรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ที่เคยออกอากาศในเดือนมิถุนายน เมื่อปีที่แล้วกัน
งานนี้ ผู้บริหารหนุ่มบอกว่า รู้สึกดีใจมาก ๆ ที่แขกที่มาพักในศรีพันวาชื่นชอบโรงแรมของเขา ซึ่งได้ยินกี่ครั้งก็อดดีใจไม่ได้ทุกครั้ง บางคนถึงกับบอกว่าเปรียบเหมือนสวรรค์บนดิน และสวรรค์ชั้น 8 เลยทีเดียว และเพราะลูกค้าส่วนใหญ่ของโรงแรมจะเป็นคู่รัก เขาก็เลยต้องคิดเผื่ออะไรหลาย ๆ อย่าง เช่น แสงไฟในห้องก็ต้องเป็นโหมดให้เข้ากับบรรยากาศของคู่รัก เหมือนกับเซตอารมณ์ให้ (หัวเราะ)
ปลาวาฬ ยังบอกด้วยว่า แขกส่วนใหญ่ที่มาพักเมื่อเห็นเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นผู้บริหารโรงแรม เพราะเขาแต่งชุดเหมือนพนักงานทั่ว ๆ ไป ส่วนใหญ่ก็คิดว่าเป็นพนักงานธรรมดา ซึ่งมันรู้สึกดีกว่าที่ทำแบบนี้ แล้วพอผ่านไปสองสามวันก็เข้าไปแนะนำตัวให้รู้จัก
อย่างไรก็ตาม หลายคนก็เคยตั้งคำถามว่า หากครอบครัวของปลาวาฬไม่ได้เป็นครอบครัวที่มีฐานะดีมาอยู่ก่อนแล้ว เขาจะสามารถบริหารจนประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้หรือไม่ ซึ่งผู้บริหารหนุ่มก็บอกว่า
"จริง ๆ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์มากกว่า คือเงินมันก็ช่วยนะ แต่เงินมันซื้อใจคนไม่ได้ ซื้อรสนิยมไม่ได้ ซื้อโชคไม่ได้ด้วย ถ้าเกิดผมไม่ได้มีนามสกุล "อิสสระ" ผมก็ต้องหาทางไต่ให้มากกว่านี้ ผมจะต้องลุยให้ได้ ต้องมีเป้าในชีวิต ต้องทำการบ้าน ว่าจะไปจุดนั้นต้องทำยังไง" ปลาวาฬ บอกถึงแนวคิด
ทั้งนี้ ปลาวาฬ ก็ไม่ปฏิเสธว่าเงินก็มีส่วนสำคัญต่อชีวิต แต่หากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นสิ่งสำคัญที่สุดเลยก็คือ ต้องไม่ขี้เกียจ ต้องทำงานหนัก และสำหรับเขาเอง เขารู้ว่าตัวเองมีเป้าหมายอย่างไร อยากจะให้โรงแรมเป็นท็อป 100 ของโลก ลุยทำจนได้แล้ว จากนั้นก็ตั้งเป้าหมายต่ออีกว่า จะต้องเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในไทย อยากเป็นแบรนด์ที่ดีที่สุด เพราะถ้าเขาทำมันสำเร็จก็จะเป็นสิ่งที่ดีต่อทีมงานของเขานั่นเอง
เห็นมุมมองของผู้บริหารหนุ่มไฟแรงคนนี้แล้ว ต้องบอกว่า แนวคิดการใช้ชีวิตของเขาคงเป็นแรงบันดาลใจให้นักบริหารรุ่นใหม่ ๆ ที่มองหาความสำเร็จอยู่ข้างหน้าได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
คลิป งานแต่งงาน ปาลาวี บุนนาค-ปลาวาฬ อิสสระ
คลิป รายการสุริวิภา : เปิดมุมมองชีวิตคู่ 3 คู่รัก
คลิป รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย : ปลาวาฬ อิสสระ
คลิป งานแต่งงาน ปาลาวี บุนนาค-ปลาวาฬ อิสสระ
คลิป รายการสุริวิภา : เปิดมุมมองชีวิตคู่ 3 คู่รัก
คลิป รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย : ปลาวาฬ อิสสระ