ประวัติความเป็นมากีฬากระบี่กระบอง

          กระบี่กระบอง เป็นศิลปะการต่อสู้ของไทยที่สำคัญชนิดหนึ่ง ซึ่งควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ บางคนอาจจะเคยเรียนมาแล้วในวิชาพลศึกษา แต่หลายคนอาจจะไม่รู้จักกีฬาชนิดนี้ วันนี้เรามีประวัติความเป็นมา การแข่งขัน รวมถึงกติกาและวิธีการเล่นกระบี่กระบองมาฝาก

ประวัติกระบี่กระบอง

         กระบี่กระบอง เป็นกีฬาที่เราไม่ค่อยจะคุ้นหูกันสักเท่าไหร่นัก อาจเพราะไม่มีการแข่งขันในระดับสากล แต่คุณรู้หรือไม่ว่ากระบี่กระบองนี้เป็นกีฬาที่มีมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ เป็นการนำเอาศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยอาวุธที่ใช้สู้รบกันในสมัยโบราณที่ช่วยปกบ้านป้องเมืองเราเอาไว้ แต่ปัจจุบัน วิชากระบี่กระบองได้มีการพัฒนาบรรจุเป็นหลักสูตรในวิชพลศึกษาที่หลายคนคงได้เรียนมาบ้าง และในวันนี้กระปุกดอทคอมก็ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกีฬากระบี่กระบองมาฝากกัน จะมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลยค่ะ

         การเล่นกระบี่กระบองเป็นพื้นฐานเบื้องต้นส่วนหนึ่งของศิลปะการต่อสู้ของไทย ที่เรียกว่า กระบี่กระบอง เพราะเป็นกีฬาที่บรรพบุรุษไทยนำเอาศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยอาวุธที่ใช้สู้รบกันในสมัยโบราณมาฝึกซ้อมและเล่นในยามสงบ โดยนำหวายมาทำเป็นกระบี่ ดาบ ง้าว ฯลฯ เอาหนังมาทำโล่ เขน ดั้ง ฯลฯ แล้วจัดมาตีต่อสู้กันเล่นหรือแข่งขันกันเป็นคู่ ๆ ดุจสู้กันในสนามรบ เป็นการฝึกหัดรุกและรับไปในตัว
  
         อย่างไรก็ตาม ประวัติเริ่มต้นของการเล่นกระบี่กระบองที่แท้จริงนั้นไม่ทราบได้แน่ชัดว่าเริ่มกันมาตั้งแต่ครั้งไหน และใครเป็นผู้คิดค้นขึ้น เพราะไม่สามารถค้นคว้าจากแหล่งใดได้ แต่เนื่องด้วยไทยเราเป็นชาตินักรบมาแต่โบราณ กระบี่กระบองซึ่งเป็นกีฬาของนักรบจึงน่าจะได้มีการเล่นกันมาเป็นเวลาช้านานควบคู่กับชนชาติไทย ในสมัยรัตนโกสินทร์มีหลักฐานที่พออ้างอิงได้คือ วรรณคดี ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 2 ในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา กล่าวถึงอิเหนาชำนาญในการกระบี่ ในรัชกาลที่ 3 สุนทรภู่แต่งเรื่องพระอภัยมณี กล่าวถึงศรีสุวรรณเล่าเรื่องกระบี่กระบองกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์

         ต่อมาในรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดปรานกระบี่กระบองเป็นพิเศษ ถึงกับโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ทรงหัดกระบี่กระบองจนครบวง และโปรดให้เล่นกระบี่กระบองเป็นการสมโภชที่หน้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เนื่องในการผนวชเป็นสามเณรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2409

         ต่อมา รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้มีการเล่นกระบี่กระบอง และชกมวยไทยหน้าพระที่นั่งในงานสมโภชอยู่เนือง ๆ พระองค์เสด็จทอดพระเนตรและพระราชทานรางวัลแก่ผู้แสดงและแข่งขันบ่อย ๆ ฉะนั้นกระบี่กระบองจึงเป็นที่รู้จักมักคุ้นกันมากในสมัยนั้น และในแต่ละปีอาจจะดูได้หลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้นกีฬากระบี่กระบองเป็นที่นิยมมาก จึงทำให้กระบี่กระบองมีอยู่ดาษดื่น และมีมากคณะด้วยกัน 

         ครั้นถึงในสมัยรัชกาลที่ 6 ความครึกครื้นในการเล่นกระบี่กระบองลดน้อยลง เพราะไม่ทรงโปรดเท่ารัชกาลที่ 5 และต่อมา ในรัชกาลที่ 7 กีฬากระบี่กระบองค่อย ๆ หมดไปจนเกือบหาดูไม่ได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ทันกับความเจริญก้าวหน้าของโลกอุตสาหกรรม ทำให้ประชาชนทั่วไปมุ่งในเรื่องเศรษฐกิจ สังคมมากขึ้น

         ทั้งนี้ ท่านอาจารย์นาค เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นผู้หนึ่งที่ได้เล่าเรียนวิชานี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเป็นผู้ที่รักใคร่ในศิลปะวิชานี้อยู่เสมอ จึงพยายามสงวนและเผยแพร่วิชากระบี่กระบองของไทยมากขึ้น ต่อมาเมื่อท่านมีโอกาสเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนพลศึกษากลาง ท่านได้เริ่มลองสอนนักเรียนพลศึกษากลางเกี่ยวกับการเล่นกระบี่กระบองขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2478 หลังจากทดลองสอนอยู่ 1 ปี พบว่าได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจของท่านผู้ใหญ่ จึงได้กำหนดวิชากระบี่กระบองไว้ในหลักสูตรของประโยคครูผู้สอนพลศึกษา เมื่อปี พ.ศ.2479 นับแต่นั้นมาได้มีผู้เล่าเรียนและสำเร็จการศึกษามากขึ้นเป็นลำดับ


กติกาการเล่นกระบี่กระบอง และรูปแบบการเล่นกระบี่กระบอง


        การเล่นกระบี่กระบองแต่ละครั้งนั้นมีแบบแผนการเล่นที่กำหนดไว้  ดังนี้


การถวายบังคม กีฬากระบี่กระบอง


การถวายบังคม กีฬากระบี่กระบอง

1. การถวายบังคม


        ในสมัยโบราณการแสดงการต่อสู้มักกระทำต่อหน้าที่ประทับ ผู้แสดงจึงต้องมีการถวายบังคม ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพต่อพระเจ้าแผ่นดินด้วย และต่อมาได้เป็นการปฏิบัติเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และผู้มีพระคุณ การถวายบังคมนี้จะกระทำ 3 ครั้ง แต่ละครั้งมีความหมาย ดังนี้

         ครั้งที่ 1 หมายถึง การแสดงความเคารพต่อหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์พระศาสดา
         ครั้งที่ 2 หมายถึง การแสดงความเคารพต่อองค์พระประมุขของชาติ
         ครั้งที่ 3 หมายถึง การแสดงความเคารพต่อบิดา มารดา ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการและผู้มีพระคุณ


การขึ้นพรหม ประกอบด้วย การขึ้นพรหมนั่ง และการขึ้นพรหมยืน


2. การขึ้นพรหม ประกอบด้วย การขึ้นพรหมนั่ง และการขึ้นพรหมยืน 


         2.1 การขึ้นพรหมนั่ง ได้แก่ การนั่งร่ายรำแต่ละทิศจนครบ 4 ทิศ แล้วจึงกลับหลังหันลุกขึ้นยืน
         2.2 การขึ้นพรหมยืน เป็นการยืนรำแต่ละทิศจนครบทั้ง 4 ทิศ และจบลงด้วยการเตรียมพร้อมจะปฏิบัติในขั้นตอนต่อไป

         การขึ้นพรหมนี้ ถ้าฝ่ายหนึ่งขึ้นพรหมนั่ง อีกฝ่ายจะขึ้นพรหมยืน นอกจากเป็นการสร้างกำลังใจและคุ้มครองในการต่อสู้แล้ว การขึ้นพรหมนี้ อาจารย์นาค เทพหัสดิน ณ อยุธยา ได้บันทึกไว้ว่า เป็นการสอนให้ผู้เรียนระลึกถึงธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคม ได้แก่ พรหมวิหารสี่

3. การรำเพลงอาวุธ 


         ผู้แสดงที่เล่นอาวุธใดจะเลือกรำเพลงตามอาวุธที่ตนใช้ โดยเลือกท่ารำจากท่ารำทั้งหมดในอาวุธนั้นตามความเหมาะสมหรือความชำนาญของผู้เล่นประมาณ 1 ท่า การรำเพลงอาวุธนี้มีมานานแต่สมัยโบราณ และมีประโยชน์ต่อผู้เล่น 

4. การเดินแปลง 


         เป็นลักษณะของการเดินที่พร้อมจะเข้าสู่ท่าต่อสู้ การเดินจะเดินไปจนสุดสนามแล้วกลับมาที่เดิม ขณะที่อยู่ในระยะใกล้ที่จะสวนกันให้ต่างหลีกไปทางซ้ายเพียงเล็กน้อย โดยอาวุธอาจจะถูกหรือระกันเล็กน้อยได้ การเดินแปลงเป็นการที่ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องดูเล่ห์เหลี่ยมของกันและกัน เป็นการอ่านใจกันและคุมเชิงกันในทีก่อนจะเข้าต่อสู้

5. การต่อสู้ 


         จะเป็นการใช้ท่าทางการต่อสู้ที่ได้ฝึกมาทั้งหมดในสถานการณ์จริง การต่อสู้นี้จะใช้อาวุธของการต่อสู้ที่เรียกว่า "เครื่องไม้ตี" มีลักษณะเช่นเดียวกับเครื่องไม้รำ แต่ไม่ได้ตกแต่งให้สวยงาม

6. การขอขมา 


         เป็นการไหว้กันและกันระหว่างผู้เล่นทั้งสองฝ่ายหลังจบการแสดงแต่ละอาวุธ เป็นการขอโทษต่อการแสดงที่ผิดพลั้งต่อกัน เป็นระเบียบที่กำหนดขึ้นในภายหลังจากสมัยท่านอาจารย์นาค เทพหัสดิน ณ อยุธยา 

         การแสดงกระบี่กระบองมีธรรมเนียมที่ดีอีกอย่างหนึ่งคือ จะต้องมีดนตรีประกอบ ซึ่งจะมีปี่ชวา กลองแขกตัวผู้ (เสียงสูง) ตัวเมีย (เสียงต่ำ) และฉิ่งจับจังหวะ เพราะไทยเป็นชาติรักดนตรี การเล่นหรือแสดงเฉย ๆ จะรู้สึกเงียบเหงา ขาดรสชาติหาความสนุกสนานได้ยาก นอกจากดนตรีจะช่วยให้เกิดความสนุกสนานครึกครื้น แล้วยังช่วยให้ผู้เล่นเกิดความฮึกเหิมมีกำลังใจในการต่อสู้ โดยเฉพาะเสียงกลองจะเป็นเหมือนเสียงหนุนหรือยุให้ผู้เล่นคิดจะสู้เรื่อย ๆ ไปโดยไม่คิดจะถอย มีแต่จะบุกติดตามเข้าไปด้วยความทรหดอดทน อีกประการหนึ่ง ในการแข่งขันต้องมีการรำอาวุธก่อนต่อสู้ ซึ่งถือว่าเป็นการดูเชิงและเป็นการทำให้กล้ามเนื้อตื่นตัว ลดความตื่นเต้น ถ้าไม่มีเสียงดนตรีแล้วจะรำได้อย่างไร



เครื่องกระบี่กระบอง


         เครื่องกระบี่กระบอง มีอยู่ 2 ชนิด คือ เครื่องไม้รำ กับเครื่องไม้ตี โดยทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นอาวุธจำลอง ส่วนมากทำมาจากหวาย มีความเหนียวและเบามือ เครื่องไม้รำนั้นลงรักปิดทองประดับกระจกอย่างสวยงาม ส่วนเครื่องไม้ตีไม่ได้ตกแต่งอะไร

         - กระบี่ เครื่องไม้รำทำด้วยหวายหรือเอ็นสัตว์ถักเป็นปลอก สวมแกนโลหะที่ยาวตลอดลงไปถึงด้ามด้วย ตอนปลายเป็นหวายหรือเอ็นถึกคล้ายหางกระเบน มักจะลงรักให้แข็ง บางทีทาสีแดงตลอด ด้ามมีโกร่งกันมือ ส่วนเครื่องไม้ตีนั้นทำอย่างเดียวกันแต่ไม่ตกแต่งอะไร

         - กระบองหรือพลอง เครื่องไม้รำทำด้วยหวายหรือไม้จริงลงรักปิดทอง เขียนลายรดน้ำหรือทาสีแดงตลอด ไม่มีโลหะประกอบอยู่ด้วยเลย บางทีก็ประดับกระจกอย่างกระบองของเจ้าเงาะในละครรำ ส่วนเครื่องไม้ตีทำด้วยไม้รากไทรหรือหวายขนาดใหญ่ ลงรักดำหรือทาสีแดงตลอด ตอนปลายทั้งสองข้างใช้เชือกขนาดเล็กพันไว้

         - ดาบ  เช่นเดียวกับกระบี่ แต่ไม่มีโกร่งกันมือ เครื่องไม้รำทำสวยงามมากดูคล้ายมีฝักอยู่ด้วย ส่วนเครื่องไม้ตีทำด้วยหวายเพื่อให้สามารถตีได้ไม่หัก การใช้ดาบนั้น มีทั้งดาบเดี่ยว ดาบคู่ ดาบกับดั้ง ดาบกับเขน ดาบกับโล่ แล้วแต่จะกำหนด

         - ง้าว เครื่องไม้รำประดิษฐ์ตกแต่งสวยงามมาก ทำด้วยไม้จริง มีลักษณะใกล้เคียงกับง้าวของจริงมาก ส่วนเครื่องไม้ตีทำด้วยหวาย ไม่มีการตกแต่งอย่างใด

         - ดั้ง เป็นเครื่องป้องกันอาวุธชนิดหนึ่ง นิยมเล่นคู่กับดาบ ซึ่งใช้สำหรับป้องกันอาวุธของศัตรู เป็นรูปสี่เหลี่ยมยาว ๆ โค้ง ๆ คล้ายกาบกล้วย กว้างประมาณ 15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 100 เซนติเมตร ทำด้วยหนังหรือหวายหรือไม้ปะปนกัน 

         - โล่ เป็นเครื่องป้องกันอาวุธเช่นเดียวกับดั้งหรือเขน นิยมนำมาเล่นคู่กับดาบ แตกต่างกันที่รูปร่างเท่านั้น คือ เป็นรูปวงกลม นูนตรงกลาง ทำด้วยหนังดิบ หวายสาน หรือโลหะ

         - ไม้ศอกหรือไม่สั้น นับว่าเป็นเครื่องกระบี่กระบองชนิดหนึ่ง มีรูปร่างลักษณะคล้ายกระดูกท่อนแขน เป็นท่อนไม้รูปสี่เหลี่ยม ยาวประมาณ 45 เซนติเมตร กว้างและสูงประมาณ 7 เซนติเมตร


มงคลสวมศรีษะ การแต่งกายกีฬากระบี่กระบอง


การแต่งกายกีฬากระบี่กระบอง


การแต่งกายกีฬากระบี่กระบอง


         เครื่องแต่งกายนั้นขึ้นอยู่กับความนิยม สมัยโบราณแต่งกายอย่างทหาร หรือนุ่งโจงกระเบนแบบหยักรั้ง คาดผ้าประเจียด ตะกรุด หรือนุ่งกางเกงขาสั้น แต่ที่สำคัญคือ นักกระบี่กระบองจะต้องสวมมงคลที่ทำด้วยด้ายดิบพันเป็นเกลียว มีขนาดใหญ่เท่าเชือกมะนิลา ใช้ผ้าเย็บหุ้มอีกชั้นหนึ่ง ปล่อยปลายทั้งสองยื่นออก 

การคิดคะแนน 


แบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้

1. ประเภทเครื่องแต่งกาย (4 คะแนน)


         - แต่งแบบนักรบไทยโบราณสมัยต่าง ๆ

         - แต่งแบบชาวบ้าน ทั้งโบราณและปัจจุบัน เช่น นุ่งกางเกง ส่วนนุ่งผ้าโจงกระเบนด้วยผ้าพื้นหรือผ้าลาย ใส่เสื้อคอกลม แขนสั้น หรือแขนทรงกระบอก คาดผ้าตะเบงมาน ใส่ชุดม่อฮ่อม หรือกางเกงขายาว เสื้อคอกลมแขนสั้น ผ้าขาวม้าคาดเอว

         - แต่งแบบกีฬานิยม เช่น นุ่งกางเกงขาสั้น หรือขายาว ใส่เสื้อทีมหรือเสื้อธรรมดาแขนสั้นหรือยาว มีผ้าคาดเอวหรือไม่มีก็ได้ รองเท้าผ้าใบ และใส่ถุงเท้า

         การแต่งกายทั้ง 3 ข้อข้างต้นต้องแต่งให้เหมือนกันทั้งคู่ นอกจากเรื่องสีแล้ว ต้องดูเรื่องความสะอาด เรียบร้อย รวมทั้งต้องสวมมงคลทุกครั้งที่ออกแสดง

2. ประเภทรำ (10 คะแนน)


         - การถวายบังคม

         - การรำพรหมนั่ง หรือพรหมยืน

         - ลีลาการรำ กำหนดให้ผู้เข้าแข่งขันรำเพียงเที่ยวเดียว ไม่ต่ำกว่า 2 ท่า และมีลีลาการรำที่เข้ากับจังหวะดนตรีและสวมบทบาทของการรำ เช่น ท่านาง ท่าลิง ซึ่งมีท่ารำอื่น ๆ อีก 12 ท่า คือ ท่าลอยชาย ท่าทัดหูหรือควงทัดหู ท่าเหน็บข้าง ท่าตั้งศอก ท่าจ้วงหน้าจ้างหลัง ท่าควงป้องหน้า ท่ายักษ์ ท่าสอยดาว ท่าควงแตะ ท่าแหวกม่าน ท่าลดล่อ และท่าเชิงเทียน

3. ประเภทการเดินแปลง (6 คะแนน) 


         เมื่อรำจบแล้วนั่งลง ก่อนออกเดินแปลง ผู้เข้าแข่งขันไม่ต้องถวายบังคม เพียงแต่ไหว้น้อมรำลึกถึงครู อาจารย์ครั้งเดียว แล้วเริ่มรำพรหม หรือจะไม่รำก็ได้ แล้วออกเดินแปลงเพียงเที่ยวเดียว

4. ประเภทการต่อสู้ (20 คะแนน)


         การต่อสู้ของแต่ละคู่จะต้องมีเหตุผลสมจริง และถูกต้องตามหลักวิชาการต่อสู้ป้องกันตัว และไม่เป็นการอนาจาร 

กำหนดเวลาการแข่งขันกีฬากระบี่กระบอง


         การแข่งขันตั้งแต่ประเภท 2, 3 และ 4 กำหนดให้ใช้เวลาในการแข่งขันคู่ละ 7 นาที เมื่อนักกีฬาแสดงครบเวลา 6 นาที กรรมการจะกดกริ่งเตือน 1 ครั้ง เมื่อนักกีฬาแสดงต่อไปจนครบเวลา 7 นาที กรรมการจะประกาศให้ทราบว่าหมดเวลาแล้ว แต่ถ้านักกีฬาแสดงเกินกำหนดเวลา 7 นาที กรรมการจะตัดคะแนนคู่นั้น 2 คะแนน จากคะแนนรวมในการตัดสิน

กรรมการผู้ตัดสินกีฬากระบี่กระบอง


         ให้ใช้กรรมการผู้ตัดสินโดยผู้ทรงคุณวุฒิคราวละ 5 ท่าน จากสมาคมกีฬาไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมีคะแนนตัดสินท่านละ 40 คะแนน

การให้คะแนน แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ


         - การแต่งกาย 4 คะแนน

         - การรำ 10 คะแนน

         - การเดินแปลง 6 คะแนน

         - การต่อสู้ 20 คะแนน

         รวม 40 คะแนน

         ให้นำคะแนนจากกรรมการผู้ตัดสินทั้ง 5 ท่าน มาตัดสินคะแนนที่ให้สูงที่สุด และตัดคะแนนต่ำที่สุดออก รวมคะแนนที่เหลือแล้วหารด้วย 3 ผลลัพธ์ที่ได้เป็นคะแนนของนักกีฬาคู่นั้น เมื่อเรียงลำดับแล้ว คู่ใดมีคะแนนมากที่สุดเป็นผู้ชนะ และรองลงมาตามลำดับคะแนน ในกรณีที่มีคะแนนเท่ากัน ให้พิจารณาดังนี้

         1. ให้ดูเฉพาะคะแนนการต่อสู้ ถ้าฝ่ายใดมีคะแนนสูงกว่าให้เป็นผู้ชนะ

         2. ถ้าคะแนนการต่อสู้ยังเท่ากันอยู่ ให้ดูคะแนนการรำ ถ้าฝ่ายใดมีคะแนนสูงกว่าให้เป็นผู้ชนะ

         3. ถ้าคะแนนการรำยังเท่ากันอยู่ให้ดูเฉพาะคะแนนการเดินแปลง ถ้าฝ่ายใดมีคะแนนสูงกว่าให้เป็นผู้ชนะ

         4. ถ้าคะแนนยังเท่ากันอีก ให้ครองตำแหน่งร่วมกัน และให้เลื่อนคะแนนรองขึ้นมาเรียงลำดับ 1 หรือ 2 หรือ 3 ต่อไป

คะแนนรวมของทีม


         ให้นำผลการแข่งขันของนักกีฬาภายในทีมที่ชนะที่ 1-2-3 ในแต่ละชนิดอาวุธมารวมกัน โดยคิดคะแนน ดังนี้      

         - ชนะเลิศ ได้ 5 คะแนน

         - รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้ 3 คะแนน

         - รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้ 1 คะแนน

         ทีมใดมีคะแนนรวมมากที่สุด เป็นทีมที่ชนะ


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สหวิชา ดอท คอมสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ประวัติความเป็นมากีฬากระบี่กระบอง อัปเดตล่าสุด 18 เมษายน 2567 เวลา 17:08:06 1,301,103 อ่าน
TOP
x close