พัทธ์อิทธิ์ จินต์วุฒิ กับชีวิตที่เปลี่ยน หลังพ้นโทษประหาร


พัทธ์อิทธิ์ จินต์วุฒิ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ Johjai1991 สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

          ถึงแม้ว่าจะเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย เกิดบนกองเงินกองทองที่สามารถเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขาได้... แต่บางทีโชคชะตาก็อาจจะเล่นตลกชนิดเปลี่ยนชีวิตของเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากลูกคนรวยที่ทำอะไรตามใจ ไม่เคยกลัวใครหน้าไหน อยู่บนจุดที่สูงที่สุดในฐานะเจ้านายและผู้บริหาร แต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด... ในฐานะนักโทษประหาร นับวันรออิสระภาพที่จะมาถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ สำหรับเรื่องราวชีวิตของ คุณพัทธ์อิทธิ์ จินต์วุฒิ ซึ่งเขาบอกว่าชีวิตเขาเคยผ่านจุดที่แย่ที่สุด ต่ำที่สุดในชีวิตมาแล้ว.. แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนความคิดเขาได้ จนเขามารู้จักกับคำว่า "ธรรมะ"

          รายการเจาะใจ (วันที่ 7 และ 14 กุมภาพันธ์) ได้นำเสนอเรื่องราวของ คุณพัทธ์อิทธิ์ ลูกชายเจ้าของโรงแรมชื่อดังใน จ.พิษณุโลก ที่ก่อนหน้านี้เขาเคยใช้ชีวิตแบบเสเพล ไม่สนใจใคร และพร้อมที่จะพุ่งชนกับทุกคนได้ทุกเมื่อ หากเพียงเขารู้สึกว่า "ไม่พอใจ" เท่านั้น อีกทั้งไม่เคยเชื่อถึงคำว่า "ศรัทธา" และไม่เคย "ศรัทธา" แม้แต่อะไรก็ตาม

          "ผมไม่ศรัทธาในความดี และผมไม่ศรัทธาในความรัก การที่มีใครสักคนคอยดูแลเรา ห่วงเรา แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา ส่วนพ่อกับแม่นั้น ด้วยความที่บ้านผมเป็นคนจีน เขาก็จะเน้นเรื่องสนิทสนมกลมเกลียวกันในครอบครัว พยายามจะตีกรอบอะไรไว้ให้ ทั้ง ๆ ที่ผมคิดว่าทีรุ่นพ่อรุ่นแม่ยังทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ทำไมต้องมาตีกรอบให้ผม และอย่าเอาคำว่าความรัก มาจำกัดกรอบอ้างสิทธิในชีวิตของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของธรรมะ หรือศาสนา จะให้สวดมนต์ สวดกันไปเพื่ออะไร สวดไปเพื่อพบนิพพานซึ่งจะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือสวดมนต์เพื่อขอหวย ขอให้ได้ดิบได้ดี ชีวิตมันง่ายขนาดนั้นเลยหรอ แค่สวดมนต์ก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ" คุณพัทธ์อิทธิ์ กล่าว

พัทธ์อิทธิ์ จินต์วุฒิ

          คุณพัทธ์อิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า ตอนเป็นวัยรุ่น ถ้าใครมาล่วงเกินอะไรก็จะจัดหนักให้เลย จัดหนักตามระดับริกเตอร์ ชกต่อยกับคนที่ไม่เคยรู้จักเป็นประจำ เรื่องที่งี่เง่า ๆ ที่สุด ก็คือ มีคนขับรถปาดหน้า ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาปาดเพราะอะไร อาจจะปาดเพราะหลบรถอีกคันมาก็ได้ แต่ตนไม่พอใจไง เร่งเครื่องแซงปุ๊บ เบรกกะทันหันปั๊บ แน่นอนเขาไม่เบรกหรือหักหลบอะไร เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีคนบ้าทำแบบนี้ คราวนี้พอรถชนท้าย ตนก็ถีบประตูรถลงมา พร้อมกับกระชากประตูรถ แล้วลากคนขับลงมาพร้อมต่อยไม่ยั้งด้วยความโมโห

          ส่วนเรื่องการศึกษานั้น ถือว่าตนเองเป็นคนหัวดีเรียนเก่ง โดยคุณพ่อได้ส่งตนไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ด้วยสภาพแวดล้อมอะไรหลาย ๆ อย่าง ทำให้ตนเที่ยวแบบสุดขั้ว ทั้งกินเหล้า เสพกัญชา แต่ก็ไม่ลืมที่จะตั้งใจเรียนแบบสุดขั้วเช่นกัน ซึ่งการเรียนในครั้งนั้น คนอื่นเค้าจบกัน 2 ปี แต่ตนใช้เวลาเพียงปีเดียว พอเรียนจบก็กลับไป แล้วก็บินไปเรียนที่สวิตเซอร์แลนด์ต่อ เนื่องจากเป็นประเทศที่การโรงแรมที่ดีที่สุด ด้านครอบครัวก็อยากจะให้จบมาแล้วมาช่วยกิจการโรงแรม จึงทุ่มเรื่องเรียนของตนอย่างไม่อั้น และสุดท้าย ตนก็กลายเป็นท็อปไฟว์ของมหาวิทยาลัย มีโรงแรมใหญ่ต่าง ๆ ติดต่อขอเชิญให้ไปทำงานทั่วโลก...

          แต่จุดเปลี่ยนสำคัญตอนนั้นคือโรงแรมที่บ้านกำลังจะเจ๊ง ถึงแม้ว่าตนจะเป็นคนที่ไม่ศรัทธาอะไร แต่สิ่งที่ตนพอมีอยู่บ้างนั้นก็คือความกตัญญู ซึ่งตนก็เลือกที่จะกลับมาช่วยงานที่บ้าน แทนที่จะไปทำงานกับโรงแรมดังระดับโลก

          "ตอนนั้นมาถึงโรงแรมที่บ้านไม่มีอะไรแล้ว แทบจะไม่เหลือเลย รถตู้โรงแรมก็โดนยึดไปหมด ด้วยความที่เพิ่งจบใหม่ แถมยังมีดีกรีดีก็เลยไฟแรงเป็นพิเศษ ยึดตัวเองเป็นหลัก พูดเสมอว่าเราจบการโรงแรมมานะ ไม่เชื่อเราจะเชื่อใคร ซึ่งอาทิตย์แรกที่เรียกประชุมกัน ใครมาสาย 5 นาที ก็จะติ๊กชื่อไว้ และก็จะเข้มงวดมาก เช่น ฝ่ายขายตอบคำถามไม่ได้ตามที่ผมต้องการ ผมก็ไล่ออกยกทีม คนที่โดนไล่ออกก็ไม่พอใจ โวยวายผม ผมไม่กลัว พูดเลยมึงมีปัญหาไม่พอใจมาเลย พร้อมต่อยเสมอ สำหรับคนอย่างพวกมึงกูว่างตลอด 24 ชั่วโมง"

พัทธ์อิทธิ์ จินต์วุฒิ

          การใช้ชีวิตในเมืองไทยในฐานะผู้บริหารโรงแรมของ คุณพัทธ์อิทธิ์ ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 21 ปี เป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมาก เพราะได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาแบบเต็ม ๆ แถมยังได้เที่ยวแบบสุดขีด แต่ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขาก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเขาทำงานเข้าสู่เดือนที่แปด..

          "ผู้จัดการโรงแรมผมโดนยิงตาย ตอนนั้นผมตกใจทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นที่โรงแรมเรา แต่หลัก ๆ แล้วกังวลเรื่องชื่อเสียงมากกว่า พอผ่านไปสักสองสัปดาห์ ตำรวจก็มาจับยามที่ผมเคยไล่ออกไป ซึ่งยามคนนั้นมันเป็นขโมย แล้วผมก็ไม่ได้ไล่เขาออกอย่างนุ่มนวล แต่ไล่ตามประสาผม สุดท้ายยามก็โดนจับ ตอนนั้นยามมองหน้าแล้ว พร้อมบอกผมว่า... กูจะเอาคืนให้เจ็บไปเลย หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ถูกหมายเรียกข้อหาจ้างวานฆ่าในเงินจำนวน 3,000 บาท โดยมีหลักฐานเป็นห้องผม รถยนต์ผม บอกว่าผมเตรียมปืนไว้ให้ ซึ่งผมต้องไปอยู่ในห้องคุมขังทันที 11 วัน พร้อมรอให้ศาลไต่สวน ส่วนผู้จัดการที่เสียชีวิตนั้น เป็นพี่เลี้ยงของผม ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณของผมคนหนึ่งเลยทีเดียว"

          คุณพัทธ์อิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า การที่ถูกข้อหาจ้างวานฆ่านั้น ตนไม่หนักใจเลย เพราะตนไม่ได้ทำ เลยรู้สึกชิล ๆ เพราะคิดว่ารอดแน่ วันสุดท้ายที่อยู่ในห้องคุมขัง ตนก็บอกพ่อให้เอาชุดมา พร้อมกับตั๋วเครื่องบิน คือเตรียมจะกลับบ้านกันหมด แต่สรุปแล้วเหมือนโลกได้แยกของเป็นสองใบ เพราะศาลชั้นตนระบุว่า จำเลยมีความผิดจริง มีโทษประหารชีวิต ซึ่งตอนนั้นอะไร ๆ ก็ขัดแย้งกันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักฐาน หรือสำนวนต่าง ๆ แต่สุดท้ายในเมื่อศาลตัดสิน ก็ต้องยอมรับสภาพ

          "สำหรับโทษประหารชีวิตนั้น ผมไม่สามารถอยู่ที่ จ.พิษณุโลก ได้ เพราะเขาจำโทษสุงสุดแต่เพียงโทษตลอดชีวิต ส่วนโทษประหารชีวิตต้องไปอยู่ที่คุกบางขวาง พร้อมกับตีตรวนผมทันที โซ่และเหล็กกลายเป็นอวัยวะที่ 33 ของผม ไปไหนมาไหนก็ต้องติดตัวมันไปตลอด ส่วนในห้องขังนั้นลำบากเสียยิ่งกว่าลำบาก แต่ก็ต้องอยู่ให้ได้ อยู่ด้วยความหวังว่าเดี๋ยวพ่อก็จะมาช่วยประกันตัว เราไม่ได้ทำอะไรผิด"

          จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี รอแล้วรอเล่า คุณพัทธ์อิทธิ์ ก็ยังไม่รับอิสรภาพ ถึงแม้ว่าจะให้พ่อวิ่งเต้นสักเท่าไร แต่ก็ดูว่าจะหมดหนทางที่จะได้รับการประกันตัว ส่วนชีวิตในห้องขัง มันบีบคั้นหัวใจอย่างมาก เมื่อเวลาเพื่อนร่วมห้องขังถูกนำตัวไปแดนประหาร... แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก บางคนก็ถึงกับตรอมใจตาย เพราะเขาไม่รู้เขาจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร
 
          พอจำคุกได้ประมาณ 1 ปีกว่า ศาลอุทธรณ์ ก็เรียกตัวไปอ่านคำพิพากษา แต่เหมือนฟ้าฟาดลงมากลางใจ เมื่อศาลอุทธรณ์ยืนคำตัดสินของศาลชั้นต้น ให้ตนรับโทษประหารชีวิต ต่อจากนั้นตนก็เปลี่ยนความคิด เพราะตนไม่อยากให้พ่อแม่ทุกข์ใจ และไม่อยากนอนรอความตาย ตนพยายามเล่นกีฬา พยายามหาความสุขในห้องขัง... แต่แล้วในวันที่จำคุกได้ 4 ปี 1 เดือน 27 วัน ทางผู้คุมก็เข้ามาเรียกให้ไปอ่านคำพิพากษาฎีกา ซึ่งเป็นศาลสุดท้าย หากตนไม่ถูกยกฟ้อง ตนก็ต้องถูกประหารชีวิต โดยในครั้งนี้ ตนสั่งไม่ให้พ่อวิ่งเต้นอีกแล้ว เพราะตนมีชีวิตเดียว เกิดมายังไงก็ตาย แต่ทั้งนี้ก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง โทษประหารชีวิต หากได้รับอภัยโทษก็จะเหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิต ต่อมาก็ 50 สิบ 25 ปี ยังไงก็ได้ออก... และในที่สุดวันที่เขาได้รับอิสรภาพก็มาถึง เมื่อศาลสั่งยกฟ้อง ให้ตนกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ในที่สุด
 
          ชีวิตในคุกนั้นไม่เพียงแต่กำจัดอิสระภาพของเขาเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นให้ความรู้ต่าง ๆ ในเรื่องที่ไม่ดี นั่นก็คือการทำผิดอย่างไรให้เนียนมากยิ่งขึ้น... พอออกจากคุกมา ไม่ใช่ชีวิตเขาจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เหมือนอย่างที่ใครเข้าใจ แต่เขากลับทำตัวตามแบบที่เขาต้องการเหมือนเดิม... โดยคิดแค่ว่าไม่ต้องทำชั่ว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำดี
 
พัทธ์อิทธิ์ จินต์วุฒิ

          จุดที่เปลี่ยนในชีวิตของเขาอีกครั้งหนึ่ง แตกต่างกับจุดแรกที่โดนคุมขังอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือการที่เขาได้รู้จักกับ "ธรรมะ" โดยตลอดทั้งชีวิตของเขา เขาแอนตี้การสวมชุดขาว เข้าวัดฟังธรรม และสวดภาษาบาลีเป็นอย่างมาก แต่ในที่สุด... ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้พบกับพระ.. และตอนนั้นนอกจากชีวิตของจะเปลี่ยนแล้ว เขายังได้เปลี่ยนทัศนคติ และพยายามขับเคลื่อนวงล้อของพุทธศาสนาได้ดำเนินต่อไปด้วย

          "ออกจากเรือนจำได้ประมาณ 1 ปี ช่วงนั้นพี่ชายเขาประสบปัญหาในครอบครัว ร้องไห้อยู่หลายวัน ซึ่งตอนเด็ก ๆ ยายสอนว่าธรรมะจะช่วยพ้นทุกข์ พี่ชายเลยเสิร์ชกูเกิลค้นหาว่าธรรมะสอนอะไร อาจารย์คนไหนที่น่าสน เลยเสิร์ชไปเจออาจารย์ที่น่าสนใจอยู่สองคน คนแรกคือพระอาจารย์ปราโมท โช คนที่สองคือ พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ ซึ่งพระอาจารย์คนแรกเขามีลูกศิษย์ลูกหาเยอะแล้ว พี่ชายเลยไปพบพระอาจารย์คนที่สองแทน" คุณพัทธ์อิทธิ์

          คุณพัทธ์อิทธิ์  กล่าวต่อไปว่า พอพี่ชายกลับมาเขามีความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง ความทุกข์ของเขาหายไปเลย ตนก็คิดว่าทำไมธรรมะถึงเปลี่ยนใจคนได้เร็วขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้เชื่ออะไรมาก เพียงแค่คิดว่าพี่ชายทำใจได้ก็ดีแล้ว ต่อมาตนก็ไม่โอกาสไปพบพระอาจารย์นวลจันทร์ ซึ่งเพียงแค่ 1 ชั่วโมงแรกที่นั่งคุยกับท่าน มันทำให้เราได้เห็นอะไรบางอย่าง ตนเป็นคนชอบตั้งคำถาม พอตนพูดอะไรไป ท่านก็จะตอบโต้มาด้วยธรรมะเสมอ คือมีคำตอบตอบให้ตนทุกอย่าง... มันทำให้ตนคิดว่า ธรรมะก็น่าสนใจดีเหมือนกัน

          จากคนที่แอนตี้การนุ่งขาวห่มขาวก็เลือกที่จะเดินเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม โดยพระอาจารย์บอกว่า เราไม่จำเป็นตั้งนั่งซ้ายทับขวา ขวาทับซ้าย เราไม่จำเป็นต้องเดินจงกลมแบบใคร ๆ เขา หรือเราไม่จำเป็นต้องหลับตาเพื่อนั่งสมาธิ ตนเลยสามารถนั่งสมาธิแบบไม่รู้ตัวนานถึง 2 ชั่วโมง และสิ่งที่ตนได้จากการนั่งสมาธินั่นก็คือการรีรันความเลวของตน ที่เคยทำมา มันทำให้ตนคิดได้ว่า ควรจะทำอะไรเพื่อพ่อแม่ เพื่อคนอื่นบ้าง

          สุดท้ายนี้ จากคนที่ผ่านจุดที่แย่ที่สุดในชีวิต แต่ก็ไม่คิดที่จะปรับปรุงตัว กลับทำทุกอย่างแบบตามใจ โดยไม่คำนึงผลกระทบของใคร แต่เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จาคำคำเดียวคือว่าคำว่า "ธรรมะ" โดยคุณพัทธ์อิทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า "ผมค้นพบความสุขมหาศาลจากการนั่งสมาธิ หลังจากนั้นพ่อแม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของผม ผมกลับบ้านมานั่งสมาธิ และสวดมนต์ ต่อจากนั้นผมก็มีโครงการสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ กินฟรี อยู่ฟรี ขอแค่อยากจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับคนอื่น ๆ ก็เท่านั้น"


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
พัทธ์อิทธิ์ จินต์วุฒิ กับชีวิตที่เปลี่ยน หลังพ้นโทษประหาร โพสต์เมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 18:04:08 33,022 อ่าน
TOP
x close