อดีตพระยันตระ ผู้เปิดตำนานฉาว สะท้านวงการผ้าเหลือง


ยันตระ อดีตพระที่เคยโด่งดัง
ยันตระ อดีตพระที่เคยโด่งดังสะท้านวงการผ้าเหลือง ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยพีบีเอส

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ jone jond สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

            ยันตระ หรือที่ชื่อเรียกติดปากว่า พระยันตระ กลับไทย ทำให้คนอยากรู้ ประวัติยันตระ คือใคร คดียันตระ อดีตพระที่เคยฉาวสะท้านวงการผ้าเหลืองเป็นอย่างไร ไปดูกัน

            กลายเป็นข่าวฮือฮาทั่วประเทศ เมื่อมีข่าวว่า ยันตระ หรือที่เรียกติดปากว่า พระยันตระ อดีตพระสงฆ์ชื่อดัง ได้เดินทางกลับประเทศไทย เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา (เมษายน 2557) โดยพักอาศัยอยู่ที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ท่ามกลางศิษยานุศิษย์ที่รวมตัวกันมากราบไหว้อย่างคับคั่ง พร้อมกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย เนื่องจาก ยันตระ เป็นอดีตพระสงฆ์ที่มีคดีความ และกลายเป็นข่าวโด่งดังเมื่อปี 2537 ซึ่งในวันนี้ เราขอย้อนรอยถึงประเด็นฉาวของอดีต "พระยันตระ" ที่ทำให้วงการสงฆ์สั่นสะเทือนมาให้ได้ทราบกัน

            ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2537 ชื่อของ "พระยันตระ อมโรภิกขุ" หรือ "พระวินัย อมโร" ในวัย 40 ปี เป็นข่าวโด่งดังในหน้าหนังสือพิมพ์นานหลายเดือน หลังจากมีสีกากลุ่มหนึ่งร้องเรียนไปยังกรมการศาสนาว่า "ยันตระ" หรือ "นายวินัย ละอองสุวรรณ" ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่สมณเพศ เพราะได้ไปล่อลวงสีกาชื่อ "จันทิมา มายะรังษี" ไปเสพเมถุนจนตั้งครรภ์ และคลอดบุตรสาวออกมาตั้งชื่อว่า "เด็กหญิงกระต่าย" โดยสีกากลุ่มนี้ได้งัดเอาเทปสนทนาระหว่างพระยันตระกับนางจันทิมาออกมาใช้เป็นหลักฐานด้วย

            การออกมาเปิดโปงเรื่องนี้กลายเป็นข่าวช็อกของวงการพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องยอมรับว่า ในสมัยนั้น "พระยันตระ" ได้รับความศรัทธาเลื่อมใสจากพุทธศาสนิกชนมหาศาลตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักพรตฤาษี กระทั่งอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกายในปี พ.ศ. 2517 ณ วัดรัตนาราม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จนมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ภายหลังจึงมีผู้สร้างสำนักถวายหลายแห่ง โดยทุกวัดที่สร้างในสำนักเขาจะใช้ชื่อว่า "สุญญตาราม" ประกอบด้วยเสมอ แต่สำนักที่เป็นที่รู้จักดีคือ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี

            ด้วยความที่เป็นพระรูปงาม มีลีลาการเทศนาที่ไพเราะจับใจ ทำให้ "ยันตระ" เป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในยุคนั้น ทุกครั้งที่ไปเทศนาธรรมในแห่งหนตำบลใด หรือแม้แต่ในต่างประเทศ จะมีพุทธศาสนิกชนเข้ามาฟังจนแน่นขนัด เห็นได้จากครั้งหนึ่งที่ "พระยันตระ" มาเทศนาธรรมที่ท้องสนามหลวง ปรากฏว่ามีชาวพุทธแห่แหนกันไปฟังธรรมจนเต็มพื้นที่ แม้กระทั่งข้าราชการระดับสูง ตลอดจนข้าราชการทางการเมืองก็เคารพศรัทธาพระยันตระเป็นอย่างยิ่ง เพราะเลื่อมใสในคำสอนของพระยันตระที่เน้นแนวทางปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งคำสอนนี้ก็ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการศาสนาว่าถูกต้องกับพระไตรปิฎก

            แต่แล้ว...เมื่อ "พระยันตระ" เจอข้อกล่าวหาที่รุนแรงผิดพระวินัยจนถึงขั้นปาราชิกเช่นนี้ แน่นอนว่า "พระยันตระ" ต้องปฏิเสธ ทำให้สื่อมวลชนพยายามขุดคุ้ยหลักฐานเพื่อเปิดโปง กระทั่งเห็นความไม่ชอบมาพากล ขณะที่ "จันทิมา" ก็ได้ฟ้องร้องพระยันตระ พร้อมกับขอท้าพิสูจน์ความจริงด้วยการตรวจดีเอ็นเอกับ "เด็กหญิงกระต่าย" ซึ่งในสมัยนั้นการตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความเป็นพ่อ-ลูก ถือเป็นเรื่องใหม่ในบ้านเราอย่างมาก แต่ทว่า...พระยันตระกลับปฏิเสธที่จะเจาะเลือดตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ ก่อนจะแอบเดินทางหลบหนีออกนอกประเทศไปโดยทันที โดยที่คดีดังกล่าวยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของศาล


ภาพข่าวอดีตพระยันตระ ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ข่าวสด ฉบับวันที่ 16 มกราคม 2537


ภาพข่าวอดีตพระยันตระ ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ข่าวสด
 
            เวลาผ่านไป เรื่องราวของพระยันตระก็ยิ่งถูกเปิดโปงออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ มีพยานหลักฐานชี้ชัดว่า นอกจาก "จันทิมา" แล้ว พระยันตระยังพัวพันกับสีกาคนอื่น ๆ ทั้งคนไทย และคนต่างชาติ ในช่วงเวลาที่ไปแสดงธรรมที่ต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานว่า พระยันตระเคยเข้าไปใช้สถานบริการทางเพศ สถานบริการอาบอบนวด และเปิดโรงแรมกับหญิงสาวในต่างประเทศด้วย

            เมื่อข้อมูลหลักฐานออกมาเช่นนี้ ในที่สุด มหาเถรสมาคมก็ได้พิจารณาปรับให้พระยันตระพ้นจากความเป็นสงฆ์ เนื่องจากถูกตั้งอธิกรณ์ผิดวินัยร้ายแรงด้วยการล่วงละเมิดเมถุนธรรม ต้องอาบัติถึงขั้นปาราชิก แต่ทว่า...พระยันตระ หรือ "นายวินัย ละอองสุวรรณ" ไม่ยอมรับมติสงฆ์ จึงปฏิญาณตนเองว่ายังเป็นพระภิกษุสงฆ์อยู่ แล้วเปลี่ยนไปนุ่งจีวรสีเขียวแทน อันเป็นที่มาที่ทำให้สื่อมวลชนตั้งสมญาให้ว่า "จิ้งเขียว" "สมียันดะ", "ยันดะ" เป็นต้น

            กระทั่งวันหนึ่ง อดีตพระยันตระ ได้ไปพูดวิจารณ์ก้าวล่วงหมิ่นองค์สมเด็จพระสังฆราชฯ ซึ่งถือว่าเป็นความผิดต้องถูกดำเนินคดี ทำให้อดีตพระยันตระพร้อมบริวารส่วนหนึ่งปลอมหนังสือเดินทางหลบหนีไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ภายหลัง ได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง จึงสามารถพักอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกาได้โดยไม่ถูกดำเนินคดีใด ๆ จวบจนปัจจุบันนี้ 

ยันตระ อดีตพระที่เคยโด่งดัง
ยันตระ อดีตพระที่เคยโด่งดัง

ยันตระ อดีตพระที่เคยโด่งดัง
ยันตระ อดีตพระที่เคยโด่งดัง

ยันตระ อดีตพระที่เคยโด่งดัง
ยันตระ อดีตพระที่เคยโด่งดัง

            อย่างไรก็ตาม แม้อดีตพระยันตระจะถูกเปิดโปงเรื่องฉาว และได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา แต่ชีวิตของอดีตพระยันตระมิได้ตกระกำลำบากเลย ตรงกันข้าม เขากลับมีชีวิตที่สุขสบายภายในสำนักสุญญตาราม เมืองเอสคอนดิโด รัฐแคลิฟอร์เนีย และมีคนสนิทคอยดูแลรับใช้ จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายปี ข่าวคราวต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ เงียบหายไป

            แต่แล้วในปี พ.ศ. 2554 ก็เกิดกระแสฮือฮาขึ้นอีกครั้ง เมื่อชาวเน็ตได้ส่งต่อภาพอดีตพระยันตระสวมจีวรสีน้ำตาล ไว้ผมเผ้า หนวดเครารุงรัง ออกมาเดินบิณฑบาตที่งานบุญของคนไทยในต่างประเทศ ซึ่งหน่วยงานด้านพระพุทธศาสนาในประเทศไทยก็ได้ตรวจสอบแล้ว แต่ไม่สามารถเอาผิดใด ๆ ได้ เพราะเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ที่กฎหมายของไทยไม่มีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ดี ภาพนี้ได้แสดงให้เห็นว่ายังมีคนที่ยังเลื่อมใสศรัทธาพระยันตระอยู่ไม่น้อยเลย

             จนถึงวันนี้ แม้เวลาจะผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่เรื่องของพระยันตระที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ก็ยังถูกพูดถึงกันอยู่เนือง ๆ จนล่าสุดเมื่อมีข่าวว่า "ยันตระ" กลับมาประเทศไทยแบบสบาย ๆ แถมยังมีลูกศิษย์ลูกหาคอยต้อนรับมากมาย อีกทั้งยังไม่ถูกดำเนินคดีใด ๆ โดยเจ้าตัวอ้างว่า คดีความทุกอย่างหมดอายุไปแล้ว... ซึ่งกรณีนี้ อาจจะเป็นกรณีตัวอย่าง ที่อาจจะทำให้คดีของ "เณรคำ" หลุดรอดจากกฎหมายก็เป็นได้



ติดตามข่าว พระยันตระ แบบอัพเดททั้งหมด 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อดีตพระยันตระ ผู้เปิดตำนานฉาว สะท้านวงการผ้าเหลือง อัปเดตล่าสุด 22 กรกฎาคม 2559 เวลา 11:53:29 186,070 อ่าน
TOP
x close