ชาวบ้านจีนบดมูลวัว มูลแพะ ผสมน้ำดื่มเชื่อสู้มะเร็ง
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก odditycentral.com
ชาวบ้านจีนบดมูลวัว มูลแพะ ผสมน้ำดื่ม เชื่อสู้มะเร็ง รักษาโรคสารพัด ด้านแพทย์จีนยืนยันในอดีตเคยใช้เป็นยาล้างพิษ แต่เสี่ยงต่อการติดเชื้อหากใช้ไม่ถูกต้อง
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 เว็บไซต์โอดดิตี้เซ็นทรัล มีรายงานว่า ได้เกิดกระแสความเชื่อที่แปลกประหลาดขึ้นในหมู่บ้านชนบทของจีน เมื่อชาวบ้านในหมู่บ้านจินซือชุน มณฑลหูหนาน ต่างพากันนำมูลวัวมูลแพะมาตากแห้ง บดผสมน้ำดื่ม เพราะเชื่อว่าเป็นยาสูตรพิเศษที่จะช่วยรักษาโรคมะเร็งและอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ได้
ชาวบ้านเปิดเผยว่า ผู้ที่เริ่มดื่มยาสูตรนี้เป็นรายแรก ก็คือ นางหม่าซวง วัย 66 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด และแม้ว่าเธอจะเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่ช่วยให้อาการของเธอดีขึ้นแม้แต่น้อย ทว่าในเช้าวันหนึ่ง นางหม่าก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับคำร้องขอที่แปลกประหลาด เธอขอให้ลูกชายของเธอไปเก็บมูลสัตว์มาให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ ซึ่งแม้ว่าลูกชายจะคิดว่าแม่เสียสติไปแล้วแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี
นางหม่า เผยว่า ในวันนั้นเธอฝันว่าได้ยินเสียง ๆ หนึ่งบอกให้เธอนำมูลวัวกับมูลแพะมาใช้รักษา จนเมื่อลูกชายของเธอนำมูลสัตว์มาให้ตามที่สั่ง เธอก็นำมันไปตากแห้งก่อนจะบดมาผสมน้ำดื่ม และโดยไม่น่าเชื่อว่าอาการของเธอดีขึ้นในไม่ช้า แม้ว่านางหม่าจะยังไม่ได้ไปตรวจติดตามโรคเพื่อยืนยันผลของยาสูตรพิเศษนี้ที่โรงพยาบาลก็ตาม
ในไม่ช้ายาสูตรใหม่ของนางหม่าก็เป็นที่แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน ชาวบ้านทุกคนล้วนอยากลองใช้ยานี้รักษาโรคดูเองบ้าง โดยคนแรกที่ทำก็คือ นางเซียนหลี วัย 40 ปี ที่ป่วยเป็นโรคทางนรีเวช ซึ่งเมื่อเธอได้ลองยาดังกล่าวก็พบว่ามีอาการดีขึ้น โดยดื่มน้ำผสมมูลวัวมูลแพะวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันนานถึง 3 เดือน
เนื่องจากมีชาวบ้านจำนวนมากที่นำวิธีการดังกล่าวไปรักษาโรคด้วยตัวเอง แพทย์จีนจึงต้องออกมาเตือนประชาชน โดยนายหลิว เส้ากุ้ย แพทย์จากคณะแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหูหนาน ยอมรับว่าในยุคโบราณจีนเคยใช้มูลวัวและมูลแพะมาเป็นยาล้างไข้และสารพิษจริง อย่างไรก็ตาม คนที่พยายามลองวิธีการนี้มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อแบคทีเรียและพยาธิ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
ในขณะที่ชาวเน็ตต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงการรักษาของชาวบ้าน โดยบางรายถึงกับบอกว่าไม่น่าเชื่อเลยที่ในยุคศตวรรษที่ 21 นี้ อีกทั้งยังเป็นในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก จะยังมีคนที่รักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีนี้อยู่อีก
