ชาวอเมริกันลุกฮือประท้วง 170 เมือง กรณีไม่ฟ้อง ตร.ยิงหนุ่มผิวสี
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Michael B. Thomas / AFP
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Michael B. Thomas / AFP
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Aaron P. Bernstein / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ม็อบต่อต้านลุกฮือกว่า 170 เมืองทั่วสหรัฐฯ แค้นลูกขุนสั่งไม่ฟ้อง ดาร์เรน วิลสัน ตำรวจยิงวัยรุ่นผิวสีเสียชีวิต พร้อมรวมตัวกันปิดถนน อุโมงค์ และสะพาน
จากกรณีเหตุการณ์สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นวงการตำรวจสหรัฐอเมริกา เมื่อ ดาร์เรน วิลสัน นายตำรวจหนุ่มผิวขาว ใช้อาวุธปืนยิง ไมเคิล บราวน์ วัยรุ่นผิวดำ วัย 18 ปี ทั้ง ๆ ที่ไร้อาวุธ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2557 แต่คณะลูกขุนสหรัฐฯ กลับสั่งไม่ฟ้อง ดาร์เรน วิลสัน จนนำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชนจำนวนมากและก่อให้เกิดเหตุจลาจลขึ้นในเมืองเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา และนำไปสู่การลุกขึ้นมาประท้วงของประชาชนในอีกหลาย ๆ เมืองนั้น
ล่าสุดวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 เว็บไซต์ wgntv มีรายงานว่า ขณะนี้กระแสการประท้วงต่อกรณีดังกล่าวได้ลุกลามไปกว่า 170 เมืองทั่วสหรัฐฯ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในแอตแลนตา ตลอดจนถึงบอสตัน นิวยอร์ก และลอสแอนเจลิส ต่างก็มีคลื่นมหาชนหลายร้อยหลายพันคนออกมาเดินขบวนประท้วงกันตามท้องถนน ทั้งยังมีการปิดสะพาน อุโมงค์และถนนสายหลัก พร้อมตะโกนด่าทอด้วยความโกรธแค้นต่อกรณีที่เกิดขึ้น
กระแสการต่อต้านนี้มีขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังประชาชนได้ทราบคำตัดสินของคณะลูกขุนสหรัฐฯ ที่สั่งไม่ฟ้อง ดาร์เรน วิลสัน ต่อกรณีใช้อาวุธปืนยิง ไมเคิล บราวน์ โดยในบิ๊กแอปเปิ้ล กลุ่มผู้ประท้วงได้มารวมตัวกันปิดถนนสายหลักของเมือง โดยที่ทางตำรวจก็ไม่สามารถทำอะไรได้แม้สถานการณ์จะเรียบร้อยขึ้นกว่าวันก่อนก็ตาม ขณะที่ในวอชิงตัน มีกลุ่มผู้ประท้วงบางส่วนออกมาล้มตัวลงกลางถนน เพื่อแกล้งตายบริเวณทางเท้านอกสำนักงานใหญ่ของตำรวจ
ยังมีเหตุสุดช็อกเกิดขึ้นในการประท้วงที่มินนีแอโพลิสด้วย เมื่อผู้หญิงรายหนึ่งในกลุ่มผู้ประท้วงได้ถูกรถทับขณะพยายามจะปิดทางแยกจราจร หลังจากที่รถคันดังกล่าวพยายามจะฝ่าฝูงชนออกไป ทำให้ผู้คนถูกชนจนล้ม และรถก็ได้เยียบทับขาของผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อนที่เธอจะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการบาดเจ็บเล็กน้อย
ทั้งนี้เหตุการณ์ประท้วงดังกล่าวไปแพร่กระจายไปในกลาย ๆ เมืองทั่วสหรัฐฯ แต่สถานการณ์ยังคงดำเนินไปด้วยความสงบ เว้นเพียงที่เมืองเฟอร์กูสัน ซึ่งผู้ประท้วงได้ลุกขึ้นมาก่อจลาจลนี่เอง
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก PAUL J. RICHARDS / AFP