10 สถานที่ประวัติศาสตร์ที่พังทลายลง จากน้ำมือของมนุษย์





             มาดู 10 สถานที่ประวัติศาสตร์ของโลกที่พังทลายลงอย่างไม่มีวันหวนกลับ โดยเหตุจากความเขลาของมนุษย์

             เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าโลกได้สูญเสียสถานที่สำคัญที่บันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติไปมากมายเหลือเกิน โดยบ้างก็สญสลายไปตามกาลเวลา บ้างถูกทำลายจากภัยธรรมชาติ และมีอีกไม่ใช่น้อยที่มีอันต้องมลายไปด้วยภัยสงครามและความเขลาของมนุษย์ ดังเช่น 10 สถานที่ทางประวัติศาสตร์ต่อไปนี้ จากเว็บไซต์ listverse  ที่เลือนหายไปจากโลกตลอดกาลอย่างไม่มีวันหวนกลับ



1. ทุก ๆ สิ่งในซาอุดีอาระเบีย


             ซาอุดีอาระเบียในขณะนี้แทบจะไม่เหลือเค้าเดิมของอาณาจักรอิสลาม นิกายวะฮาบีย์ แห่งตะวันออกกลางอีกเลย นับตั้งแต่ปี 2528 จนถึงบัดนี้ ชาวซาอุดีอาระเบียได้ทำลายมรดกของอาณาจักรอิสลามไปแล้วกว่า 98% โดยนอกจากการทำลายอาคารโบราณเพื่อนำมาสร้างโรงแรมใหม่ ๆ แล้ว ยังมีหลักฐานชี้ว่าพวกเขาจงใจทำลายสถานที่ทางวัฒนธรรมที่หลงเหลืออยู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังเช่น มัสยิดของ Caliph Abu Bakr ที่เพิ่งจะถูกทำลายแล้วนำตู้ ATM มาตั้งแทน หรือแม้แต่ Mount Uhud ในเมดินา ก็ถูกเติมเต็มด้วยคอนกรีตและรั้วกั้น

             สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีการของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ในความพยายามเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ หลังจากวางแผนสร้างพระราชวังแห่งใหม่ทับสถานที่เกิดของมูฮัมหมัด ความบ้าคลั่งก็เริ่มขึ้นรอบ ๆ พื้นที่ดังกล่าวเพื่อทำลายทุกหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามันคือที่เกิดของบุคคลสำคัญในอดีต อีกทั้งเนื่องจากนิกายวะฮาบีย์ไม่เคารพรูปปั้นบูชาใด ๆ เหล่านักบวชจึงกระตุ้นให้มีการทำลายล้างอนุสาวรีย์และสิ่งประดิษฐ์ที่อาจหันเหความสนใจของปวงชนไปจากพระเจ้า จนร่องรอยวัฒนธรรมในอดีตได้วินาศลงไปจนหมดสิ้น



2. โบราณสถานในซีเรีย

             ซีเรียคือเมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่สงครามที่เลวร้ายที่สุดในขณะนี้ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในซีเรียได้ถูกกำจัดไปหมด พร้อม ๆ กับชีวิตของเพื่อนมนุษย์จำนวนมาก สงครามในพื้นที่นี้คร่าสมบัติของโลกไปมากกว่าพื้นที่ขัดแย้งอื่น ๆ เมืองเก่าแก่อย่างดามัสกัสและอะเลปโปได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียงซากปรักหักพัง จากนั้นในปี 2555 เปลวเพลิงก็ได้แผดเผาตลาดในอะเลปโป ทำลายหนึ่งในจุดการค้าสำคัญของเส้นทางสายไหม และในปี 2556 ปราสาทเชวาลิเยร์ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็ได้รับความเสียหายจากการโจมตีทางอากาศ

             ขณะที่มัสยิดที่ยิ่งใหญ่ในอะเลปโปก็ถูกทำลายลงเช่นกันหลังยืนยงมาเกือบพันปี กระทั่งในเดือนธันวาคม 2557 ยูเนสโกก็ได้ประกาศว่ามีพื้นที่มรดกกว่า 300 แห่งที่ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลายไปในซีเรีย จากน้ำมือของ ISIS และยังดูเหมือนตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต



3. The Mayrieres Cave

             กลุ่มมนุษย์ถ้ำที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสเมื่อกว่า 15,000 ปีก่อน ได้สร้างศิลปะอันน่าทึ่งไว้ใน Cave of Mayrieres ซึ่งแม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปร่วมหมื่นปี แต่ภาพดังกล่าวก็ยังอยู่ในสภาพดีและนับว่าเป็นสิ่งทรงคุณค่าในยุคปัจจุบัน กระทั่งมันได้รับความสนใจจากกลุ่มเยาวชนโปรเตสแตนต์ ที่หวังทำกิจกรรมดี ๆ ด้วยการเข้ามาทำความสะอาดรอยขูดเขียนภายในถ้ำ ความไม่รู้เยาวชนกว่า 70 คนจึงใช้แปรงลวดลบเลือนผลงานศิลปะยุคก่อนประวัติศาสตร์ไปเกือบหมดสิ้น แม้ในตอนนี้เจ้าหน้าที่วัฒนธรรมของฝรั่งเศสจะเข้ามาดูแล แต่ภาพวาดเหล่านี้ก็ถูกทำลายไปเป็นส่วนมากเสียแล้ว




4. ทะลเสาบอูร์เมีย

             ในปลายทศวรรษที่ 90 ทะเลสาบอูร์เมียเป็นเหมือนสวรรค์สำหรับนักท่องเที่ยว มีน้ำทะเลสีฟ้าครามและเกาะที่ซ่อนตัวกว่า 100 แห่ง ด้วยเหตุนี้มันจึงดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้แวะมาเยี่ยมชม อย่างไรก็ตาม ทะเลสาบซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกได้กลายมาเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าในปัจจุบัน น้ำที่แห้งเหือดทิ้งให้มีเรือขึ้นสนิมถูกทิ้งไว้บนพื้นดินแห้ง นอกจากนี้ยังมีพายุหมุนเกลือพิษที่ทำลายภูมิทัศน์โดยรอบอีกด้วย แม้รัฐบาลอิหร่านจะให้คำมั่นว่าจะทุ่มงบกว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการฟื้นฟูทะเลสาบอูร์เมีย แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะทำได้สำเร็จจนถึงขณะนี้



5. เบนินซิตี

             เบนินซิตี แห่งไนจีเรีย หรืออาณาจักรเบนินในอดีต เคยเป็นหนึ่งในเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกจนถึงศตวรรษที่ 19 พ่อค้าชาวโปรตุเกสเคยมีบันทึกระบุว่าเมืองแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าเมืองลิสบอน ในโปรตุเกส มีบ้านเรือนที่หรูหรา มีรถราวิ่งบนถนนที่ไกลสุดลูกหูลูกตา มีพระราชวังของโอบาที่สวยงามตั้งอยู่ใจกลางเมือง

             อย่างไรก็ตามในปี 2435 ชาวอังฤษได้บุกเข้ามาเพื่อทำสนธิสัญญาร่วมกับผู้ปกครองอาณาจักรเบนินเพื่อให้ตนมีสิทธิ์ใช้ประโยชน์จากที่ดินแห่งนี้ แต่เมื่ออาณาจักรเบนินปฏิเสธจะให้ความร่วมมือในด้านการค้ากับอังกฤษ ทางลอนจึงส่งทหาร 10 นายมาจัดการ ทว่าทั้ง 10 นายกลับถูกสังหาร กองกำลังติดอาวุธที่ใหญ่กว่าจึงถูกส่งมาเพื่อเผาทำลายเมืองแห่งนี้จนแทบไม่มีอะไรเหลือ



6. หลุมฝังศพของโยนาห์


             สถานที่สุดท้ายของผู้เผยแพร่พระวจนะตามพันธสัญญาเดิม หรือหลุมฝังศพของโยนาห์ ในเมืองโมซุล แห่งอิรัก นับเป็นสถานที่สำคัญสำหรับนักแสวงบุญชาวมุสลิมและชาวคริสเตียน รวมถึงนักโบราณคดีอีกด้วย เพราะหลุมศพที่ซับซ้อนแห่งนี้ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดจากยุค 800 ปีก่อนคริสตศักราช อย่างไรก็ตาม ISIS ได้ระเบิดที่แห่งนี้ทิ้งในเดือนกรกฎาคม 2557 ทำลายล้างสถานที่ทางประวัติศาสตร์และบ้านเรือนในอาณาบริวเณจนหมดสิ้น



7. พื้นที่โบราณสถานสถานแห่งทะเลทรายอาตากาม่า

             ทะเลทรายอาตากาม่านับเป็นสถานที่วิเศษที่สุดของโลก เพราะพื้นที่ซึ่งขาดความชุ่มชื้นแห่งนี้ทำให้ภาพวาดในยุคก่อนโคลัมบัสและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ยังถูกเก็บไว้ในสภาพสมบูรณ์แม้เวลาผ่านมานานนับพันปี บนเนินทรายยังมีรูปทรงที่เกิดจากการถูกลมพัดเมื่อ 18,000 ปีก่อนด้วย อย่างไรก็ตามความหายนะได้บังเกิดขึ้นในปี 2552 เมื่อมีการจัดการแข่งขัน ดาการ์ แรลลี่ ขึ้นในทะเลทรายแห่งนี้ โชคร้านที่ผู้จัดงานละเลยการตรวจสอบเส้นทางที่ถูกต้อง ทำให้พื้นที่โบราณถึง 6 แห่งในทะเลทรายแห่งนี้ถูกทำลายไป หลงเหลือเพียงรอยล้อรถ และที่แย่ไปยิ่งกว่านั้นคือการแข่งขันดังกล่าวได้เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2554 สร้างความเสียหายในแก่พื้นที่โบราณแห่งทะเลทรายอาตากาม่า ไปกว่า 44%



8. สวรรค์แห่งนาอูรู

             ปัจจุบันนี้ ประเทศเกาะเล็ก ๆ อย่าง นาอูรู เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่ตั้งของศูนย์กักกันของออสเตรเลีย อย่างไรก็ตามเมื่อ 100 ปีก่อนหน้านี้ มันเป็นที่รู้จักในฐานะเกาะสวรรค์ ชาวยุโรปได้ค้นพบเกาะแห่งนี้เมื่อศตวรรษที่ 18 ในสภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยพรรณไม้เขตร้อนที่เขียวชอุ่ม พวกเขาจึงตั้งชื่ออย่างเป็นทางการแก่เกาะแห่งนี้ว่า เกาะพลีแซนต์

             ทว่าเป็นโชคร้ายของผู้คนบนเกาะ เนื่องจากเกาะแห่งนี้เป็นเกาะหินฟอสเฟต ทำให้ตั้งแต่ปี 2443 ได้มีอาณานิคมต่าง ๆ เข้ามาปล้นแร่หินฟอสเฟตไปจากเกาะแห่งนี้ กระทั่งนาอูรูประกาศอิสรภาพในศตวรรษที่ 60 รัฐบาลก็ยังคงเดินหน้าทำเหมืองแร่บนเกาะ ทิ้งให้เกาะแห่งนี้แปรสภาพไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง



9. The Senator Tree


             เมื่อราว 3,500 ปีก่อน เมล็ดพันธุ์ของต้นสนได้ตกลงบนพื้นที่แห่งหนึ่งซึ่งกลายมาเป็นรัฐฟลอริดา สหรัฐฯ ในปัจจุบัน เมล็ดพันธุ์นั้นหยั่งรากและเติบโตขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่ ด้วยความสูงกว่า 36 เมตร หนึ่งในต้นไม้โบราณที่สุดในโลกเฝ้ามองการถือกำเนิดของพระเยซู การเดินทางของโคลัมบัส รวมถึงการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเศร้าเมื่อในปี 2555 ซารา บาร์นส์ นางแบบสาวรายหนึ่งได้ปีนขึ้นไปเสพยาบนต้นไม้ แล้วจุดไฟเพื่อที่จะได้มองเห็นยาในมือได้ชัด อย่างไรก็ตามต้นไม้เกิดติดไฟก่อนที่ไฟจะลุกลามไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เป็นเวลานานราว 2-3 ชั่วโมงที่ต้นไม้โบราณต้นนี้ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงก่อนจะกลายเป็นเถ้าถ่าน




10. จารึกสิงคโปร์

             จารึกสิงคโปร์ เป็นแผ่นศิลาจารึกขนาดใหญ่กว่าศิลาโรเซตตา มีลักษณะเป็นหินสูง 3 เมตรและกว้าง 3 เมตร ศิลาที่จารึกด้วยภาษาโบราณและยังไม่มีใครถอดรหัสได้นี้ถูกพบในบริเวณปากแม่น้ำสิงคโปร์ ในปี 2362 มันเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของยุคโบราณ

             อย่างไรก็ตามในปี 2386 จารึกขนาดยักษ์นี้ได็ถูกระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อกองทัพอังกฤษต้องการนำหินมาสร้างป้อม อาคาร พื้นถนน และม้านั่ง แม้ว่าจนถึงขณะนี้จะมีจารึกชิ้นเล็ก ๆ บางส่วนที่ถูกนำมาเป็นไว้เป็นสมบัติแห่งชาติที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์ แต่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวได้ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง และลบเลือนข้อความส่วนมากไปจนหมดสิ้น ทำให้เราไม่อาจทราบได้เลยว่ามันถูกบันทึกเรื่องราวใด ๆ ไว้บ้าง



ภาพจาก listverse






เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
10 สถานที่ประวัติศาสตร์ที่พังทลายลง จากน้ำมือของมนุษย์ อัปเดตล่าสุด 9 มีนาคม 2558 เวลา 12:16:27 55,906 อ่าน
TOP
x close