ศาลมีนบุรีออกหมายจับผู้ต้องหาเครือข่ายระเบิดราชประสงค์อีก 1 ราย คือ สามี "วรรณา" เป็นชาวตุรกี ข้อหาร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต หลังพบหลักฐานเอี่ยวขบวนการ
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2558 พลตำรวจโท ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการออกหมายจับผู้ต้องหาผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีระเบิดที่แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ว่า ขณะนี้ศาลจังหวัดมีนบุรีได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาคนที่ 8 ในคดีดังกล่าวได้แก่ นายเอ็มระห์ ดาวูโตกลู (Emrah Davutoglu) สามีชาวตุรกีของ น.ส.วรรณา สวนสัน ในข้อหาร่วมกันมียุทธภัณฑ์ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยอยู่ในกลุ่มผู้จัดหาที่พักในประเทศไทยให้ขบวนการดังกล่าว
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบว่า นายเอ็มระห์ อยู่กับ น.ส.วรรณา ด้วยกันหรือไม่ เพราะหลังจากที่ น.ส.วรรณา ติดต่อผ่านทางเจ้าหน้าที่กองปราบปราม ล่าสุดยังไม่ได้รับการติดต่อกลับมา และมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย จึงอยากให้ น.ส.วรรณา รีบติดต่อมาที่สถานทูตไทยประจำประเทศตุรกี ส่วนที่หลายคนมีข้อสงสัยว่า น.ส.วรรณา อยู่ที่ตุรกีจริงหรือไม่นั้น พลตำรวจโท ประวุฒิ กล่าวว่า ยังไม่ชี้ชัดเจนกว่า น.ส.วรรณา จะติดต่อมายังสถานทูตอีกครั้ง ส่วนการตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์ที่ น.ส.วรรณา ใช้สื่อสาร ไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และคาดว่าจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติมอีก แต่ยังไม่ทราบว่ามีกี่คน
นอกจากนี้ พลตำรวจโท ประวุฒิ ยังเปิดเผยถึงการตรวจสอบลายนิ้วมือแฝงของผู้ต้องสงสัยที่มีการควบคุมตัวได้ที่ถนนเลียบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เขตพื้นที่บ้านดงงู ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เมื่อวานนี้ว่า ล่าสุดพบว่าลายนิ้วมือแฝงตรงกับวัตถุที่เป็นส่วนประกอบของวัตถุระเบิดภายในห้องพักที่พูลสวัสดิ์ อพาร์ทเม้นท์ ห้อง 414 ย่านหนองจอก และเชื่อว่าชายคนดังกล่าวอาจเป็นคนวางระเบิด หรือเคลื่อนย้ายระเบิดในวันดังกล่าว ขณะเดียวกันจะต้องมีการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐว่ามีการช่วยเหลือให้คนร้ายเดินทางเข้า-ออกประเทศหรือไม่ ซึ่งหากตรวจสอบว่ามีการกระทำผิดหรือรับสินบน จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย
โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า กลุ่มคนดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับชาวอุยกูร์หรือไม่ แต่จากข้อมูลในเบื้องต้นสามารถระบุได้ว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุคือผู้เสียผลประโยชน์จากการปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของทางรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเพิ่มมาตรการ การตรวจตราบุคคลเข้า-ออกระหว่างประเทศ ให้มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น รวมถึงการติดตั้งระบบตรวจสอบใบหน้า ไบโอเมทริก เพื่อตรวจสอบข้อมูลใบหน้าของผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศ
