ญาติวีรชนพฤษภา'35 แถลงหนุนตั้งรัฐบาลขั้วที่ 3 สู้ พล.อ. ประยุทธ์ ขอ 250 ส.ว. คิดถึงประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง หวั่นการโหวตเลือกนายกฯ จะเป็นชวนความขัดแย้งใหม่ของสังคม
โดยระบุว่า ทางคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา'35 กังวลว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองไทยและจะเป็นชนวนความขัดแย้งครั้งใหม่ของสังคม เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีการสืบทอดอำนาขของ คสช. เอื้อให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่พรรคการเมืองซึ่งเสนอชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดต ไม่ได้รับการเลือกตั้งอันดับ 1
ทั้งนี้ คณะกรรมการญาติวีรชนฯ
ไม่อยากเห็นการเมืองเข้าสู่ทางตัน
จนสังคมไทยต้องเผชิญหน้าบาดเจ็บล้มตายกันอีก จึงมีข้อเสนอและข้อเรียกร้อง
ดังนี้
1. คณะกรรมการญาติวีรชนฯ เห็นว่า ความพยายามจัดตั้งรัฐบาลเพื่อเลือก พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ด้วยอาศัยเสียงสมาชิกวุฒิสภา 250 เสียง ซึ่งคัดสรรมาด้วยกระบวนการที่ไม่โปร่งใส ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนและไม่สง่างาม จึงขอเรียกร้องให้ 250 ส.ว. พิจารณาตัดสินใจด้วยความอิสระ คำนึงถึงทางออกของชาติบ้านเมืองมากกว่าผลประโยชน์ต่างตอบแทน แต่หากโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่เป็นบุคคลนำประเทศไปสู่ความขัดแย้ง จะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย
2. การจัดตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ไม่สามารถนำพาประเทศชาติออกจากวังวนความขัดแย้งได้ จึงขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรคที่จะร่วมรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ พิจารณาทบทวนหาแนวทางใหม่ที่ยังมีช่องทางเป็นไปได้ เพราะหากเป็นรัฐบาลได้ไม่กี่เดือนแล้วสะดุดล้มลง นอกจากจะสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติโดยรวมแล้ว พรรคการเมืองของท่านก็จะถูกตราหน้าจากสังคมว่าเป็นพรรคการเมืองที่ร่วมสร้างปัญหาให้กับชาติบ้านเมืองด้วย
3. ข้ออ้างที่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 สามารถตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้นั้น เป็นการตีความแบบศรีธนญชัย แม้บทเฉพาะกาลมาตรา 272 ระบุให้การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาหรือ 376 เสียง แต่ต้องยึดมาตรา 159 ที่ต้องใช้มติของสภาผู้แทนราษฎร และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือว่าเป็นบทบัญญัติหลัก นั่นหมายความว่าจะต้องอาศัยเสียง ส.ส. มากกว่า 250 เสียงร่วมโหวตด้วย
4. หากที่ประชุมร่วมรัฐสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยเสียง ส.ส. ไม่ถึง 250 เสียง จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ประธานรัฐสภา จะกล้านำรายชื่อบุคคลที่มีคะแนนเสียงสนับสนุนไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของ ส.ส. ขึ้นทูลเกล้าฯ หรือไม่ รวมทั้งบุคคลที่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อย จะกล้านำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณหรือ เพราะอาจจะเป็นกระทำที่กระทบและระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เนื่องจากอาจขัดรัฐธรรมนูญ และยังสร้างความชอบธรรมให้เกิดการชุมนุมต่อต้านนำไปสู่ความขัดแย้งของสังคมอีกด้วย
5. ขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองที่พยามจัดตั้งรัฐบาลขั้วที่ 3 ทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด โดยเดินไปให้สุดทางก่อน เพราะหากรวมพรรคการเมืองและจำนวน ส.ส. ขั้วที่ 3 และที่ไม่เอาการสืบทอดอำนาจจะมี ส.ส. กว่า 320 เสียง โดยประกาศร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลขั้วที่ 3 อย่างเป็นทางการที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอย่างแท้จริง เท่ากับประกาศความชอบธรรมทางการเมืองที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ แล้วหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ยอมรับของพรรคการเมืองและภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม เป็นนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าทุกภาคส่วนจะออกมาสนับสนุนอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา?35 ยืนยันว่าด้วยสถานการณ์ที่ยังดำรงการแบ่งฝักฝ่ายของพรรคการเมือง และด้วยเงื่อนไขรัฐธรรมนูญที่วางกับดักไว้มากมายทำให้เกิดความยุ่งยากในการจัดตั้งรัฐบาล รวมทั้งความพยายามสืบทอดอำนาจมีแต่จะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง จึงขอวิงวอนให้ทุกภาคส่วนของสังคมร่วมกันสนับสนุนการจัดตั้ง "รัฐบาลช่วยชาติ" เพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเร่งปฏิรูปประเทศในเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนให้แล้วเสร็จ ก่อนคืนอำนาจให้ประชาชนอีกครั้งเพื่อสังคมไทยจะได้กลับสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
วันที่ 2 มิถุนายน 2562 แนวหน้า รายงานว่า นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา'35
ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีจะมีการประชุมร่วมรัฐสภา วันที่ 5 มิถุนายน นี้
ซึ่งมีวาระสำคัญอยู่ที่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
โดยระบุว่า ทางคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา'35 กังวลว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองไทยและจะเป็นชนวนความขัดแย้งครั้งใหม่ของสังคม เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีการสืบทอดอำนาขของ คสช. เอื้อให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่พรรคการเมืองซึ่งเสนอชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดต ไม่ได้รับการเลือกตั้งอันดับ 1
1. คณะกรรมการญาติวีรชนฯ เห็นว่า ความพยายามจัดตั้งรัฐบาลเพื่อเลือก พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ด้วยอาศัยเสียงสมาชิกวุฒิสภา 250 เสียง ซึ่งคัดสรรมาด้วยกระบวนการที่ไม่โปร่งใส ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนและไม่สง่างาม จึงขอเรียกร้องให้ 250 ส.ว. พิจารณาตัดสินใจด้วยความอิสระ คำนึงถึงทางออกของชาติบ้านเมืองมากกว่าผลประโยชน์ต่างตอบแทน แต่หากโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่เป็นบุคคลนำประเทศไปสู่ความขัดแย้ง จะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย
2. การจัดตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ไม่สามารถนำพาประเทศชาติออกจากวังวนความขัดแย้งได้ จึงขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรคที่จะร่วมรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ พิจารณาทบทวนหาแนวทางใหม่ที่ยังมีช่องทางเป็นไปได้ เพราะหากเป็นรัฐบาลได้ไม่กี่เดือนแล้วสะดุดล้มลง นอกจากจะสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติโดยรวมแล้ว พรรคการเมืองของท่านก็จะถูกตราหน้าจากสังคมว่าเป็นพรรคการเมืองที่ร่วมสร้างปัญหาให้กับชาติบ้านเมืองด้วย
3. ข้ออ้างที่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 สามารถตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้นั้น เป็นการตีความแบบศรีธนญชัย แม้บทเฉพาะกาลมาตรา 272 ระบุให้การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาหรือ 376 เสียง แต่ต้องยึดมาตรา 159 ที่ต้องใช้มติของสภาผู้แทนราษฎร และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือว่าเป็นบทบัญญัติหลัก นั่นหมายความว่าจะต้องอาศัยเสียง ส.ส. มากกว่า 250 เสียงร่วมโหวตด้วย
4. หากที่ประชุมร่วมรัฐสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยเสียง ส.ส. ไม่ถึง 250 เสียง จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ประธานรัฐสภา จะกล้านำรายชื่อบุคคลที่มีคะแนนเสียงสนับสนุนไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของ ส.ส. ขึ้นทูลเกล้าฯ หรือไม่ รวมทั้งบุคคลที่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อย จะกล้านำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณหรือ เพราะอาจจะเป็นกระทำที่กระทบและระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เนื่องจากอาจขัดรัฐธรรมนูญ และยังสร้างความชอบธรรมให้เกิดการชุมนุมต่อต้านนำไปสู่ความขัดแย้งของสังคมอีกด้วย
5. ขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองที่พยามจัดตั้งรัฐบาลขั้วที่ 3 ทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด โดยเดินไปให้สุดทางก่อน เพราะหากรวมพรรคการเมืองและจำนวน ส.ส. ขั้วที่ 3 และที่ไม่เอาการสืบทอดอำนาจจะมี ส.ส. กว่า 320 เสียง โดยประกาศร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลขั้วที่ 3 อย่างเป็นทางการที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอย่างแท้จริง เท่ากับประกาศความชอบธรรมทางการเมืองที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ แล้วหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ยอมรับของพรรคการเมืองและภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม เป็นนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าทุกภาคส่วนจะออกมาสนับสนุนอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา?35 ยืนยันว่าด้วยสถานการณ์ที่ยังดำรงการแบ่งฝักฝ่ายของพรรคการเมือง และด้วยเงื่อนไขรัฐธรรมนูญที่วางกับดักไว้มากมายทำให้เกิดความยุ่งยากในการจัดตั้งรัฐบาล รวมทั้งความพยายามสืบทอดอำนาจมีแต่จะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง จึงขอวิงวอนให้ทุกภาคส่วนของสังคมร่วมกันสนับสนุนการจัดตั้ง "รัฐบาลช่วยชาติ" เพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเร่งปฏิรูปประเทศในเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนให้แล้วเสร็จ ก่อนคืนอำนาจให้ประชาชนอีกครั้งเพื่อสังคมไทยจะได้กลับสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก