จับหมอหื่น วางยา - อัดคลิปข่มขืนสาวไซด์ไลน์ จัดไปหลายคน ลอยนวลมาได้หลายปี

           จับหมอหื่น ลวงซื้อบริการสาวก่อนวางยา - อัดคลิปข่มขืน เสพสุขขณะเหยื่อหมดสติ ชี้ก่อเหตุมาหลายปี มีเหยื่อหลายราย

         วันที่ 9 มีนาคม 2563 เว็บไซต์เดอะซัน รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุม มานิช กุปตา วัย 49 ปี หมอศัลยกรรมพลาสติก จากรัฐโอไฮโอ สหรัฐฯ หลังได้รับการร้องเรียนว่าหมอรายนี้ได้ก่อเหตุวางยาและข่มขืนหญิงบริการหลายคน พร้อมอัดคลิปเก็บไว้ โดยก่อเหตุมาเป็นเวลานานหลายปี

         โดยมีการเปิดเผยข้อมูลในชั้นศาล ว่าระหว่างที่กุปตาเดินทางไปร่วมประชุมศัลยแพทย์พลาสติก ในลอสแอนเจลิส เมื่อปี 2559 เขาได้ติดต่อซื้อบริการจากสาวเอสคอร์ต หรือหญิงขายบริการชั้นสูงรายหนึ่ง ก่อนจะวางยาเธอให้หมดสติ แล้วจึงตั้งกล้องอัดคลิปขณะที่ลงมือข่มขืนเธอ

         หลังเกิดเหตุ เหยื่อได้ทำการตรวจสารเสพติดในตัว พบว่ามียา Benzodiazepines ซึ่งเป็นกลุ่มยาทางจิตเวชที่หมออาจจะใช้ทำให้ผู้ป่วยสลบก่อนการผ่าตัด รวมถึงยา Tranquilliser ซึ่งเป็นยากล่อมประสาท ตกค้างอยู่ในร่างกายของเธอ เธอยังใช้อุปกรณ์ตรวจหาการถูกล่วงละเมิดทางเพศ จากศูนย์บำบัดผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ในศูนย์การแพทย์ UCLA จนมั่นใจว่าตัวเองโดนหมอรายดังกล่าวทำมิดีมิร้ายเข้าแล้วจริง ๆ


         นอกจากนี้ เมื่อเหยื่อลองไปเช็กข้อมูลในเว็บไซต์ที่สาวขายบริการใช้เพื่อตรวจติดตามบุคคลอันตราย ก็พบว่ามีเพื่อนร่วมวงการหลายคนที่ร้องเรียนเกี่ยวกับบุคคลหนึ่ง ซึ่งมีชื่อและคำบรรยายลักษณะตรงกับ มานิช กุปตา โดยทั้งนี้ระบุตรงกันว่า พวกเธอถูกข่มขืนหลังจากถูกหมอรายนี้วางยา และเขายังแอบถ่ายคลิปไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย

         หลังจากที่เหยื่อร้องเรียนเรื่องดังกล่าว ในเดือนมกราคม 2562 ทางเอฟบีไอก็ได้เริ่มทำการสอบสวน พบว่าก่อนหน้านี้ในปี 2557 เคยมีลูกจ้างในคลินิกของกุปตาพบ SD card จำนวนหลายชิ้น ซึ่งภายในมีคลิปขณะที่กุปตากำลังมีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่อยู่ในสภาพหมดสติ

         ต่อมาในวันที่ 6 มีนาคม 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้รับหมายค้นให้เข้าตรวจสอบบ้าน รถ และสำนักงาน 2 แห่งของกุปตา กระทั่งพบหลักฐานเป็นอุปกรณ์เซ็กส์ทอย กล้อง SD card และยาเค จึงได้รวบรวมไว้ พร้อมจับกุมตัวหมอหื่นรายนี้ ด้วยข้อหาใช้สารควบคุมที่ผิดกฎหมาย ทารุณกรรมทางเพศ และค้ามนุษย์เพื่อประโยชน์ทางเพศ

         โดยตอนนี้กุปตาได้ถูกควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำแล้ว และจะต้องเข้าสู่กระบวนการไต่สวนความผิดก่อนจะพิจารณาคดีต่อไป