x close

ระเบียงอาถรรพณ์

ระเบียง

          ดิฉันได้พบกับเหตุการณ์สยองขวัญ ติดหูติดตามาหลายปี ทุกวันนี้ก็ยังจดจำภาพเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำ น่าขนลุกขนพองเหมือนกับว่าเรื่องราวเหล่านั้นเพิ่งอุบัติขึ้นสดๆ ร้อนๆ ไม่ช้าไม่นานมานี้เอง

          ก่อนอื่นดิฉันขอยืนยันว่าขณะที่ประสบเหตุการณ์สยองนั้น ตัวเองไม่ได้ดื่มเหล้าเบียร์ จะว่าเกิดจากสติสัมปชัญญะเลอะเลือนเพราะฤทธิ์สุรา หรือเพราะความอ่อนเพลียทำให้ตาฝาด เกิดจินตนาการว่าเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วตัวเองก็พลอยหลงเชื่อเป็นตุเป็นตะไปด้วย

          ร่างกายและจิตใจเข้มแข็งเป็นปกติทุกอย่างค่ะ!

          เพื่อตัดปัญหาที่อาจจะติดตามมาภายหลัง ขอบอกแต่เพียงว่าดิฉันอยู่ที่เขตดินแดงระหว่างถนนรัชดาภิเษกกับถนนซูเปอร์ไฮเวย์ มีถนนและตรอกเล็กซอยน้อยแผ่กระจายเหมือนใยแมงมุม...เหตุการณ์ขนหัวลุกอุบัติขึ้นที่หน้าบ้านดิฉันนั่นเอง

          ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกแถวหลายหลัง มีซอยเล็กๆ คั่นเกือบทุกหลัง ขนาดรถแล่นเข้าได้ก็มี ขนาดเป็นทางเดินแคบๆ ก็มี ตึกแถวก็มีทั้งเรียงรายราว 4-5 ห้อง กับมีแค่ 2 ห้องที่ทะลุถึงกัน แต่ทุกวันนี้เป็นตึกร้างไปแล้ว

          มองจากระเบียงบ้านดิฉันไป คือตึกแถว 5 ห้องที่เปิดเป็นร้านอาหาร ร้านขายของชำและร้านเสริมสวย อีก 2 ห้องริมซอยเล็กๆ เป็นที่อยู่อาศัย...มีรถราแล่นผ่านไปมาขวักไขว่ตอนกลางวัน ผู้คนก็เดินเข้าออกหนาตา บางคนเงยขึ้นมาร้องทักทาย บางคนดิฉันก็ทักลงไป...ล้วนแต่คุ้นๆ หน้ากันทั้งนั้น

          มอเตอร์ไซค์ทั้งส่วนตัวและรับจ้างแล่นกระหึ่ม แต่ส่วนมากจะระมัดระวังอันตรายกันพอสมควร...เสียแต่ไม่ค่อยชอบสวมหมวกนิรภัยกันเสียเลย ขนาดออกไปถนนใหญ่ก็ยังไม่สวมหมวกกันน็อก เห็นแล้วน่าหวาดเสียวแทนตำรวจก็ไม่ค่อยสนใจจะจับกุม หรือว่ากล่าวตักเตือนหรอกค่ะ รู้ทั้งรู้ว่าอันตรายเหลือเกิน ถ้าสวมหมวกจะช่วยป้องกันได้มากทีเดียว

          เพราะเหตุนี้เอง เรื่องสยองขวัญจึงอุบัติขึ้นต่อหน้าต่อตาดิฉันเอง!

          วันเกิดเหตุเป็นบ่ายวันอาทิตย์ ดิฉันไปนั่งที่ม้ายาวริมระเบียงพร้อมกับหลานชาย...มองดูรถราและผู้คนที่เดินเข้าออกแทบไม่ขาดระยะ ร้านเสริมสวยมีลูกค้าหนาตาเป็นพิเศษ เพราะมาสระผมไดร์ผมสำหรับไปทำงานในวันรุ่งขึ้น...

          เสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มจนไม่น่าสนใจ แต่แล้วคล้ายจะมีลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ดิฉันหันไปมองทางก้นซอยโดยไม่ได้ตั้งใจ

          รถเครื่องสีแดงเลือดนกแล่นลิ่วออกมาจากก้นซอย คนขับไม่ได้สวมหมวกนิรภัยตามเคย! เสื้อวินสีเขียวทำให้รู้ว่าเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง...มีการเคลื่อนไหวทางขวามือ ดิฉันหันไปมองก็ชาวาบไปทั้งตัวในบัดดล

          เด็กชายวัย 10 กว่าขวบกำลังวิ่งออกมาจากซอยเล็ก...ตาอั้น! แม่ของแกกำลังรอคิวทำผมอยู่ในร้าน...มอเตอร์ไซค์กับเด็กชายที่กำลังจะพบกันตรงหัวมุมตึกแถว แต่ต่างฝ่ายต่างก็มองไม่เห็นกันหรอกค่ะ...เหมือนภาพสโลว์โมชั่นที่น่าสยดสยองสิ้นดี!

          รถสีแดงพุ่งเข้าชนเด็กชายเสียงโครม! ทั้งรถทั้งคนกระเด็นลงไปกลิ้งบนพื้นถนนตามด้วยเสียงหวีดร้องโหยหวนเข้าไปถึงหัวใจ ผู้คนวิ่งถลาออกมามุงดู ดิฉันเองก็ลุกพรวดพราดขึ้นไปคุกเข่าเกาะลูกกรงระเบียงมองลงไป เห็นแต่หัวดำๆ กับเสียงพูดเซ็งแซ่...เลือดแดงฉานไหลนองอยู่บนพื้นถนนจนดิฉันรู้สึกปวดมวนในช่องท้อง ภาพต่างๆ พร่าเลือนไปชั่วขณะ...

          ตั้งแต่เกิดมาดิฉันไม่เคยเห็นภาพสุดสยองแบบนี้มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว!

          ทรุดร่างลงนั่งแปะตามเดิม เสียงหลานชายซักถามอะไรดังแว่วๆ รู้สึกหัวใจเต้นแรงแทบกระทบโพรงอก มือเท้าเย็นชืดไปหมด...ได้ข่าวว่าเด็กชายสลบคาที่ คนขับมอเตอร์ไซค์ก็ศีรษะแตก...ดูเหมือนแหลกยับเยินเพราะไม่ได้สวมหมวกนิรภัย ไปตายที่โรงพยาบาลทั้งคู่เลยค่ะ!

          เวลาผ่านไปเกือบเดือน มีอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นหลายราย...ชาวบ้านแทบจะลืมเหตุการณ์สยองขวัญวันนั้นไปเกือบหมด แต่ดิฉันยังจำได้ว่าคนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นชื่อนายชิต บ้านอยู่แถวตลาดใกล้ๆ กัน กับตาอั้น เด็กน้อยวัย 10 ขวบ ที่ต้องมาตายก่อนกำหนด

          ดิฉันยังออกไปนั่งเล่นกับหลานชายที่ระเบียงบ้านเสมอ นึกถึงเหตุการณ์สยองวันนั้นแล้วไม่วายขนลุก...ภาวนาว่าอย่าให้เกิดเหตุร้ายขึ้นอีกเลย!

          เย็นนั้นกลับจากทำงานมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ชวนหลานไปกินขนมที่ระเบียงไม่ทราบมีอะไรมาดลใจให้นึกถึงนายชิตกับตาอั้นผู้ล่วงลับไปแล้ว

          เสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มมาจากก้นซอย ดิฉันไปมองก็เห็นเสื้อกั๊กสีเขียวของรถรับจ้าง..แต่เมื่อหันไปทางขวาก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาวิ่งออกจากซอยเล็กเร็วจี๋...

          คุณพระช่วย! ภาพสโลว์โมชั่นแสนสยองอุบัติขึ้นอีกแล้วค่ะ!

          มอเตอร์ไซค์คันนั้น...นรกเป็นพยาน! คนขับคือนายชิต...ส่วนเด็กชายก็คือตาอั้น! ทั้งสองคล้ายจะนัดพบกันตรงจุดเดิม! ดิฉันได้ยินเสียงโครมสนั่น ร่างตาอั้นกระเด็นไปพร้อมๆ กับรถนายชิตล้มคว่ำระเนระนาด...ดิฉันลุกพรวดขึ้นไปคุกเข่าเกาะลูกกรงระเบียงจ้องมองด้วยหัวใจเต้นระทึกแทบจะแตกสลายไป

          ไม่มีเสียงหวีดร้อง ไม่มีใครมามุงดูเหมือนคราวนั้น...รถราและผู้คนยังขวักไขว่ไปมาตามปกติ ดิฉันขยี้ตาจ้องมองอีกครั้งก็ไม่เห็นภาพสยองอะไรเลย ชั่วขณะหนึ่งดิฉันคิดว่าตัวเองหมกมุ่นจนตาฝาดไปแน่ๆ

          หรือก็ไม่พลัดหลงเข้าไปในแดนสนธยาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ก็เล่นเอาขนหัวลุก...เข็ดหลาบระเบียงบ้านไปหลายนานเชียวค่ะ!


กสิณา


ข้อมูลจาก

ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ตไม่เกี่ยวกับข้อมูล

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ระเบียงอาถรรพณ์ โพสต์เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 00:00:00 3,185 อ่าน
TOP