x close

หางาน...... มาราธอน

ทำงาน

          ฉันก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนนึงที่มีปัญหาเรื่องการทำงาน ที่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อแก้ปัญหา ณ จุดนี้ไม่ได้ก็ต้องลาออก หรือหางานใหม่ให้ได้เร็วที่สุด (เท่าที่จะทำได้) ฉันเลือกที่จะหางานใหม่แทนที่จะเดินออกมาตกงาน แต่ทว่า อะไรต่างๆ นานาในโลก ยิ่งดิ้นรนอยากได้ก็มักจะไม่ได้ การหางานของฉันก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ฉันใช้เวลาในการหางานมาก็รวมๆ 2 ปีครึ่งเต็มๆ เพื่อนฉันถามว่าทำไมถึงจำได้ล่ะ

          "ก็แน่ล่ะ ช่วงปีแรกฉันนั่งทำตารางลงบันทึกบริษัทที่ฉันสมัครและไปสัมภาษณ์ทุกที่ เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2005"

          นับตั้งแต่ปี 2005 จนถึงปัจจุบัน ฉันเดินไปสัมภาษณ์งานมาก็น่าจะรวมๆ 50 ที่ คำถามที่ได้ยินบ่อยๆ และคำตอบที่ต้องตอบทุกครั้งมันแล่นมาในหัวแบบอัตโนมัติ คล้ายๆ กับการฉายหนังเรื่องนึง วนไปวนมาซ้ำไปซ้ำมา จนบางครั้งฉันแทบจะถอดใจไม่อยากไปมันซะเฉยๆ แต่คิดในทางบวกแล้ว การถูกเรียกไปสัมภาษณ์ก้อเหมือนกับนักแสดงที่เมื่อได้รับบทบาทมาแล้วก็ต้องเล่นให้ได้ดีที่สุด ฉันก็ต้องท่องอยู่ในใจร่ำไป

          เวลาไปถึงที่บริษัทไหน แล้วกรอกใบสมัครเสร็จ เจ้าหน้าที่เรียกชื่อฉัน อยู่ๆ คำพูดที่ว่า The Show Must Go On ก็ผุดขึ้นในหัวทุกที เชื่อไหมล่ะว่าฉันเคยทำรอบไปสัมภาษณ์ 3 ที่ภายในวันเดียวกัน เหนื่อยมากกกก...แต่ก็ทำรอบได้ทันกันหมด

          ฝ่ายบุคคลที่คอยนั่งสัมภาษณ์ฉัน เค้าก็คงเบื่อที่จะถามคำถามอะไรเดิมๆ อยู่เหมือนกัน ส่วนฉันก็ต้องคิดในทางแง่ดีว่า มันไม่ได้มีโอกาสดีที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยนัก ที่ฉันจะได้คุยกับท่านผู้บริหารใหญ่ๆ โตๆ เป็นชั่วโมงๆ ก็ท่านเหล่านั้นเค้าเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราที่ไหนล่ะ

          อ้อ! ฉันลืมบอกไปว่าอาชีพที่ฉันทำเป็นเลขานุการ ดังนั้นแล้วฉันต้องได้สัมภาษณ์กับนายๆ ท่านๆ พวกนี้ในรอบสุดท้ายทุกที แล้วบริษัทส่วนใหญ่ที่ฉันได้มีโอกาสไปเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง พอพูดถึงก็เรียกได้ว่า ไม่มีใครไม่รู้จักว่างั้นเถอะ

          พูดถึงฝ่ายบุคคล จากประสบการณ์การเดินหางานมากกว่า 2 ปีทำให้ฉันได้พูดคุยกับฝ่ายบุคคลมากขึ้น แหมก็บริษัทใหญ่ๆ โต น่ะก็ต้องผ่านด่านบุคคลเป็นด่านแรกก่อนเสมอแหละ อย่างน้อยๆ ฝ่ายบุคคลก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า ท่านคือ ภาพลักษณ์ของบริษัทน่ะค่ะ เพราะ (จากประสบการณ์) ฉันเคยถูกฝ่ายบุคคลท่านนึงคุยกับฉันจนทำให้ฉันต้องเสียความมั่นใจแถมท้ายด้วยการดูถูกต่างๆ นานา ฉันคิดว่า ถึงที่นี่รับฉัน ฉันก็ไม่อยากทำงานที่นี่หรอก

          ฉันจำได้แม่นว่ามีอยู่บริษัทนึง ฉันต้องนั่งรอท่านผู้บริหารท่านนึงชั่วโมงครึ่งเพื่อที่จะได้คุยกับท่านเพียงครึ่งชั่วโมง แล้วมีของแถมที่ได้มาคือ ฉันไม่ได้งานแน่นอน เพราะท่านบอกมาตรงๆ ว่า งานที่ฉันต้องการมันไม่ตรงกับความต้องการท่าน ไม่เป็นไรฉันปลอบใจตัวเองอยู่นาน "เค้าบอกมาตรงๆ ดีแล้ว เราจะได้ไม่เสียเวลากันมากไปกว่านี้"

          ฉันมีวิธีหางานทุกทาง ตั้งแต่ใช้บริการบริษัทจัดหางาน เพื่อนแนะนำบ้าง สมัครทางอินเตอรเน็ตบ้าง เรียกได้ว่าวิธีไหนทำได้ทำหมด แม้กระทั่ง เดินไปขอกรอกใบสมัครตามบริษัทที่อยู่ตามตึกต่างๆ บางครั้งก็โดนไล่มาเหมือนกะหมูกะหมา แกล้งบอกว่ายังไม่มีตำแหน่งหรือไม่ก็ปิดไปแล้วหรือไม่ก็พักเที่ยงแล้ว ไว้มากรอกวันหลังแล้วกัน ฉันยอมรับว่าทำใจยากอยู่เหมือนกันเพราะการทำวิธีนี้เหมือนเด็กจบใหม่แต่มันก็เป็นอีกทางนึงเผื่อฉันจะถูกหวยกะเค้าบ้าง

          สองปีที่บ่อยครั้งรู้สึกเหนื่อยและท้อ บางครั้งกลับมาแล้วแทบจะร้องไห้แบบไม่รู้ตัว แต่ทำไงได้ เราต้องล้มไม่นาน เพื่อที่จะลุกขึ้นมาใหม่ให้เร็วที่สุด ฉันยอมรับว่าช่วงแรกๆ ฉันมีความหวังแทบทุกที่ที่ฉันได้เข้ารอบเป็นรอบสุดท้าย แต่ท้ายที่สุดฉันก้อตกม้าตายมาตลอด จนช่วงหลัง มันกลายเป็นว่าทุกครั้งที่ฉันเดินออกมาจากการสัมภาษณ์ ฉันมักจะเตือนตัวเอง เสมอว่า ฉันได้ทำภารกิจลุล่วงแล้วน่ะ ผลจะได้หรือไม่ ไม่ต้องไปคาดหวัง เพราะฉันแค่ได้ทำภารกิจนี้ให้เสร็จก็แค่นั้น

          มันก็แปลก ที่หลายคนมักจะพูดว่า คนเราต้องอยู่ได้ด้วยความหวัง แต่ฉันกลับก้าวต่อไปแบบไม่มีความหวัง เพราะฉันคิดว่าความหวังนำมาซี่งความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระมัง

          ท้ายที่สุดความพยายามของฉันก็สำเร็จลงเมื่อกลางปีที่เพิ่งผ่านมาฉันได้งาน แต่ทว่า การได้งานน่ะมันเป็นแค่จุดเริ่มต้น ก็เหมือนกับการแต่งงานแหล่ะ เราไม่มีวันรู้อนาคตว่าจะออกมาสวยหรูหรือล้มครืน สำหรับฉัน ความสุขอยู่ได้ไม่นาน วิมานลอยกลางอากาศก้อได้มาเยือนอย่างไม่รู้ตัว ฉันเจอเจ้านายโรคจิต เผด็จการ บ้าอำนาจ ซึ่งมองมุมไหนแล้วก็คงไม่มีอนาคตรุ่งแน่ๆ ฉันเลยต้องกลับมาหางานใหม่อีกรอบ

          แน่นอนฉันไม่ได้หยุดพักนาน เพราะด้วยอายุและอาชีพที่ทำอยู่ทำให้ต้อง รีบเร่ง (ถีบ) ตัวเองให้ได้งานใหม่เร็วที่สุด ฉันได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่า ฉันคงไม่น่าจะโชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีกน่า อย่างน้อยบุญเก่าที่ได้ทำมาน่าจะมีบ้าง ถึงครั้งนี้จะหนีเสือปะจระเข้ ก็ขอให้เป็นจระเข้ตัวใหม่ก็แล้วกัน

          สองเดือนที่เริ่มงานใหม่เป็นสองเดือนที่หางานใหม่ ฟังดูแปลกแต่จริงในชีวิตงานของฉัน แต่มันเกิดขึ้นแล้วและมันก็เป็นความจริงที่โหดร้ายอยู่เหมือนกัน สองเดือนคุณเชื่อไหมว่าฉันได้ตระเวนสัมภาษณ์ไปเกือบ 10 บริษัท วู่ !! ฉันเริ่ม (กลับมา) สนุกกับการสัมภาษณ์ ขณะเดียวกันก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด เพราะต้องรีบกลับมาทำงาน ฉันพึ่งไปเริ่มงาน ใครเค้าจะให้ลาพักร้อนล่ะค่ะ

          เพื่อนฉันเคยบอกว่า ฉันน่าจะเขียนหนังสือรวมรวมประสบการณ์การสัมภาษณ์ทั้งหมด เพราะว่าฉันมีมากมายซะเหลือเกิน บางที่จะมองให้มันขำ มันก็ขำๆ ชิวๆ บางที่เดินออกมาแบบคอตก บางที่เดินออกมาแทบจะไม่ทัน หรือบางที่ก็อยากได้จนตัวโก่ง (แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้) ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วนเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ ในเมื่อโอกาสมาถึง ใครล่ะที่จะกล้าปฎิเสธ อย่างน้อยมันก็เป็นการเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ไปพูดคุยกับคนใหม่ๆ ได้เรียนรู้ทัศนคติที่แตกต่าง ฉันว่า มันเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหลอย่างนึงนะ

          มาถึงบัดนี้ ถึงฉันยังหาใหม่ (อีกที) ไม่ได้ แต่ฉันยังเชื่อว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จต้องอยู่ที่นั่น (แล้วความสำเร็จมันอยู่ที่ไหนหว่าตอนนี้อ่ะ) เพราะฉันมักท่องและเตือนตัวเองเสมอว่า ถ้าฉันหยุดหางาน เหมือนฉันหยุดหายใจ ในเมื่อชีวิตคนเราเกิดมาต้องทำงานหาเลี้ยงชีพนี่นา แล้วจะเอาอะไรกินล่ะค่ะ ถ้าดิฉันต้องเดินตกงาน อย่างน้อยการเดินหางานในตอนที่เรามีงานรองรับอยู่ ยังดีกว่าเดินออกมาเพื่อเดินหางานอย่างเดียวแหละน่า

          แล้วคุณล่ะเป็นนักหางานมืออาชีพเหมือนฉันไหม อึดและรอคอยความสำเร็จได้ยาวนานเหมือนฉันไหม เพราะชีวิตฉันไม่เคยเห็นกลีบกุหลาบกระมัง ขวากหนามที่เจอมันแสบๆ คันๆ นะ แต่ท้ายที่สุด ฉันต้องเด็ดดอกกุหลาบมาเชยชมให้ได้แหละน่า เป็นกำลังใจให้ฉันหน่อยนะ กับการหางานที่มาราธอนนนนนนนนนนนขนาดนี้ สู้ สู้ สู้ตายค่ะ !!



ข้อมูลจาก

ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
หางาน...... มาราธอน โพสต์เมื่อ 26 มีนาคม 2551 เวลา 14:57:36 16,711 อ่าน
TOP