แม่ใจสลาย เห็นลูกชายตายต่อหน้า จัดการเผาศพให้เสร็จ ได้รับข้อความปริศนาจากลูกชาย นึกว่ามิจฉาชีพแต่ไม่ใช่ แล้วคนที่เผาไปเป็นใคร ?
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เว็บไซต์ CBC รายงานเหตุการณ์สะเทือนใจที่เกิดขึ้น เมื่อแม่ชาวแคนาดาต้องเดินทางด่วนมายังโรงพยาบาล หลังได้รับแจ้งเรื่องที่ลูกชายอยู่ในภาวะวิกฤตและใกล้ตาย เธอต้องโศกเศร้าที่เห็นเขาเสียชีวิตลงต่อหน้า แต่หลังจากจัดงานศพและเผาร่างไปแล้ว กลับได้รับข้อความปริศนาจากชายที่อ้างว่าเป็นลูกของเธอ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เชื่อว่าเป็นมิจฉาชีพ แม่ได้ตัดสินใจโทร. ไปหาเบอร์แปลก ๆ ที่ส่งข้อความนั้นมา กลับต้องช็อกอีกรอบเมื่อพบว่าผู้ที่คุยอยู่ปลายสาย เป็นลูกชายของเธอจริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอสับสนมึนงงอย่างมาก และนำมาสู่การตั้งคำถามว่า ศพที่ถูกเผาไปนั้นเป็นใคร และเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร !
สิ่งสำคัญที่ไม่อาจกู้คืนคือความรู้สึกทุกข์ทรมานใจ ของแม่ที่ต้องสูญเสียลูกชาย เธอใช้เวลานานถึง 3 วันแห่งความเจ็บปวดในการเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนที่เธอนึกว่าเป็นลูกชาย ตลอดจนต้องข่มกลั้นความเจ็บปวดจัดงานศพให้เขา เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าทุกอย่างเป็นแค่ความผิดพลาด
รายงานเผยว่า ฮีเธอร์ อินสลีย์ ไม่ได้เจอหน้าลูกชายมา 4 ปีแล้ว เพราะเขาติดยาและมักจะย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ มักจะติดต่อหาครอบครัวเพื่อพูดคุยกันสั้น ๆ เท่านั้น มันทำให้เธอกลัวมาตลอดว่าจะได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวร้ายเกี่ยวกับลูกชายในสักวัน จนกระทั่งวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา ฝันร้ายของเธอก็เกิดขึ้นจริง เมื่อได้รับสายจากโรงพยาบาลติดต่อมาแจ้งเรื่องที่ลูกชายอยู่ในสภาพเลวร้าย ขอให้เธอไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
เมื่อวางสาย อินสลีย์ใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง ขับรถจากบ้านในเมืองพิคตัน รัฐออนตาริโอ ของแคนาดา มุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลมอนต์ฟอร์ต ในกรุงออตตาวา และได้พบกับลูกชายที่นอนอยู่บนเตียงห้องไอซียู รอบตัวเขาเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ ช่วงตัวถูกห่อด้วยผ้าห่ม มีการใส่ท่อช่วยหายใจ ทำให้ใบหน้าด้านล่างถูกบดบังไปบางส่วน
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้เป็นแม่กับสมาชิกในครอบครัวอีก 5 คน ก็ไม่เคยมีใครตั้งคำถามเลยว่านี่ใช่ลูกชายของอินสลีย์หรือไม่ ทุกคนเชื่อว่าเป็นเขา เพราะทั้งคู่มีลักษณะที่คล้ายกันมาก ทั้งทำผมทรงเดียวกัน ผมหนาเหมือนกัน ขนตายาวเหมือนกัน ครอบครัวของเธออยู่เคียงข้างชายคนนี้โดยคิดว่าเป็นลูกหลานของตัวเอง จนกระทั่งถึงเวลาที่เขาจากไป
อินสลีย์ยังสานต่อความปรารถนาของลูกชายที่จะบริจาคอวัยวะ ด้วยการเซ็นเอกสารบริจาคอวัยวะไป ร่างกายนี้สามารถช่วยได้อีก 3 ชีวิต ที่รอการเปลี่ยนตับและไต เธอยังจัดการเรื่องต่าง ๆ ในงานศพ และทำการเผาศพด้วยความเศร้าสุดใจ แต่ในวันที่เผาศพนั้นเอง อยู่ ๆ อินสลีย์ก็ได้รับข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก อ้างว่าเป็นลูกชายของเธอ และขอเงินแม่
แม่ที่กำลังเศร้าเห็นดังนั้นก็ตกใจมาก มั่นใจว่านี่คือข้อความจากมิจฉาชีพ แต่ไม่กี่วันต่อมาเธอก็ได้รับข้อความซ้ำอีกครั้ง จึงตัดสินใจโทร. กลับไปยังหมายเลขที่ส่งข้อความมา และทันใดนั้นก็ต้องช็อกเมื่อได้ยินเสียงที่เหมือนลูกชายดังจากปลายสาย
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ด้วยความช่วยเหลือจากตำรวจออตตาวา ในที่สุดคู่สามีภรรยาก็สามารถติดตามไปจนถึงที่อยู่ปัจจุบันของลูกชายได้ และต้องอึ้งเมื่อพบว่าลูกชายของเธอยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ แน่นอนว่าเธอมีความสุขมากที่ลูกยังไม่ตาย แต่ขณะเดียวกันความรู้สึกสูญเสียและโศกเศร้าที่ผ่านมานั้น ยังเกาะกินและทำให้เธอใจสลาย
อย่างไรก็ตาม ลูกชายวัย 43 ปี ยืนยันว่าเขาเองไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับความสับสนที่โรงพยาบาลดังกล่าว เพิ่งจะทราบเรื่องจากพ่อแม่ และนั่นก็ทำให้เขาหนาววาบไปถึงกระดูกสันหลัง อย่างไรก็ดี จากนี้เขาตั้งใจจะใช้ชีวิตในแบบที่แตกต่างไปจากเดิม
สำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น ปรากฏว่ามีคนพบชายที่หมดสติอยู่ในวันที่ 30 ธันวาคม 2566 ซึ่งแพทย์ที่โรงพยาบาลต้องใช้อุปกรณ์พยุงชีพเพื่อช่วยชีวิตเขา และผู้ป่วยก็ไม่เคยฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกเลย อย่างไรก็ตาม พยาบาลรายหนึ่งเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยน่าจะเป็นลูกชายของอินสลีย์ ที่เพิ่งเข้ามารักษาตัวด่วนเมื่อ 2 เดือนก่อน จากเหตุเสพยาเกินขนาด เพราะทั้งคู่มีลักษณะที่เหมือนกันมาก
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นซ้ำคือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไม่มีการขอให้ครอบครัวของอินสลีย์ยืนยันอัตลักษณ์และลักษณะของลูกชายอีกรอบ ทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยบนเตียงมีรอยสักที่แขน แตกต่างไปจากลูกชายของอินสลีย์ แต่ทางครอบครัวเองก็ไม่ได้เอะใจสงสัย เพราะร่างกายของผู้ป่วยถูกคลุมอยู่ใต้ผ้าห่ม
ด้าน ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของโรงพยาบาล เผยว่า เจ้าหน้าที่เพิ่งได้รับแจ้งเรื่องการระบุตัวผู้ป่วยไม่ถูกต้อง เมื่อวันที่ 19 มกราคม ซึ่งจากนั้นทราบว่าครอบครัวที่แท้จริงของผู้ป่วยที่เสียชีวิตได้รับแจ้งข้อมูลแล้ว ซึ่งทางโรงพยาบาลต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย รวมถึงขออภัยทั้ง 2 ครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์อันทุกข์ทรมานนี้ ทางโรงพยาบาลอยู่ระหว่างจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง และจะทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
อินสลีย์ ชี้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหมือนฝันร้ายที่กระทบกระเทือนจิตใจ มันแย่มากที่ต้องคิดว่าเธอได้สูญเสียลูกชายไป แต่ขณะเดียวกันพวกเธอก็ได้แสดงความรักทั้งหมดแก่ชายหนุ่มอีกคน โดยไม่ละทิ้งเขาไปไหน เราอยู่เคียงข้างเขาประหนึ่งว่านั่นคือลูกของเราเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก CBC
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เว็บไซต์ CBC รายงานเหตุการณ์สะเทือนใจที่เกิดขึ้น เมื่อแม่ชาวแคนาดาต้องเดินทางด่วนมายังโรงพยาบาล หลังได้รับแจ้งเรื่องที่ลูกชายอยู่ในภาวะวิกฤตและใกล้ตาย เธอต้องโศกเศร้าที่เห็นเขาเสียชีวิตลงต่อหน้า แต่หลังจากจัดงานศพและเผาร่างไปแล้ว กลับได้รับข้อความปริศนาจากชายที่อ้างว่าเป็นลูกของเธอ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เชื่อว่าเป็นมิจฉาชีพ แม่ได้ตัดสินใจโทร. ไปหาเบอร์แปลก ๆ ที่ส่งข้อความนั้นมา กลับต้องช็อกอีกรอบเมื่อพบว่าผู้ที่คุยอยู่ปลายสาย เป็นลูกชายของเธอจริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอสับสนมึนงงอย่างมาก และนำมาสู่การตั้งคำถามว่า ศพที่ถูกเผาไปนั้นเป็นใคร และเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร !
สิ่งสำคัญที่ไม่อาจกู้คืนคือความรู้สึกทุกข์ทรมานใจ ของแม่ที่ต้องสูญเสียลูกชาย เธอใช้เวลานานถึง 3 วันแห่งความเจ็บปวดในการเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนที่เธอนึกว่าเป็นลูกชาย ตลอดจนต้องข่มกลั้นความเจ็บปวดจัดงานศพให้เขา เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าทุกอย่างเป็นแค่ความผิดพลาด
ช่วงเวลาสุขทุกข์ทนของแม่
รายงานเผยว่า ฮีเธอร์ อินสลีย์ ไม่ได้เจอหน้าลูกชายมา 4 ปีแล้ว เพราะเขาติดยาและมักจะย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ มักจะติดต่อหาครอบครัวเพื่อพูดคุยกันสั้น ๆ เท่านั้น มันทำให้เธอกลัวมาตลอดว่าจะได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวร้ายเกี่ยวกับลูกชายในสักวัน จนกระทั่งวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา ฝันร้ายของเธอก็เกิดขึ้นจริง เมื่อได้รับสายจากโรงพยาบาลติดต่อมาแจ้งเรื่องที่ลูกชายอยู่ในสภาพเลวร้าย ขอให้เธอไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
เมื่อวางสาย อินสลีย์ใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง ขับรถจากบ้านในเมืองพิคตัน รัฐออนตาริโอ ของแคนาดา มุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลมอนต์ฟอร์ต ในกรุงออตตาวา และได้พบกับลูกชายที่นอนอยู่บนเตียงห้องไอซียู รอบตัวเขาเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ ช่วงตัวถูกห่อด้วยผ้าห่ม มีการใส่ท่อช่วยหายใจ ทำให้ใบหน้าด้านล่างถูกบดบังไปบางส่วน
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้เป็นแม่กับสมาชิกในครอบครัวอีก 5 คน ก็ไม่เคยมีใครตั้งคำถามเลยว่านี่ใช่ลูกชายของอินสลีย์หรือไม่ ทุกคนเชื่อว่าเป็นเขา เพราะทั้งคู่มีลักษณะที่คล้ายกันมาก ทั้งทำผมทรงเดียวกัน ผมหนาเหมือนกัน ขนตายาวเหมือนกัน ครอบครัวของเธออยู่เคียงข้างชายคนนี้โดยคิดว่าเป็นลูกหลานของตัวเอง จนกระทั่งถึงเวลาที่เขาจากไป
อินสลีย์ยังสานต่อความปรารถนาของลูกชายที่จะบริจาคอวัยวะ ด้วยการเซ็นเอกสารบริจาคอวัยวะไป ร่างกายนี้สามารถช่วยได้อีก 3 ชีวิต ที่รอการเปลี่ยนตับและไต เธอยังจัดการเรื่องต่าง ๆ ในงานศพ และทำการเผาศพด้วยความเศร้าสุดใจ แต่ในวันที่เผาศพนั้นเอง อยู่ ๆ อินสลีย์ก็ได้รับข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก อ้างว่าเป็นลูกชายของเธอ และขอเงินแม่
แม่ที่กำลังเศร้าเห็นดังนั้นก็ตกใจมาก มั่นใจว่านี่คือข้อความจากมิจฉาชีพ แต่ไม่กี่วันต่อมาเธอก็ได้รับข้อความซ้ำอีกครั้ง จึงตัดสินใจโทร. กลับไปยังหมายเลขที่ส่งข้อความมา และทันใดนั้นก็ต้องช็อกเมื่อได้ยินเสียงที่เหมือนลูกชายดังจากปลายสาย
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ด้วยความช่วยเหลือจากตำรวจออตตาวา ในที่สุดคู่สามีภรรยาก็สามารถติดตามไปจนถึงที่อยู่ปัจจุบันของลูกชายได้ และต้องอึ้งเมื่อพบว่าลูกชายของเธอยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ แน่นอนว่าเธอมีความสุขมากที่ลูกยังไม่ตาย แต่ขณะเดียวกันความรู้สึกสูญเสียและโศกเศร้าที่ผ่านมานั้น ยังเกาะกินและทำให้เธอใจสลาย
อย่างไรก็ตาม ลูกชายวัย 43 ปี ยืนยันว่าเขาเองไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับความสับสนที่โรงพยาบาลดังกล่าว เพิ่งจะทราบเรื่องจากพ่อแม่ และนั่นก็ทำให้เขาหนาววาบไปถึงกระดูกสันหลัง อย่างไรก็ดี จากนี้เขาตั้งใจจะใช้ชีวิตในแบบที่แตกต่างไปจากเดิม
ต้นเหตุความผิดพลาด
สำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น ปรากฏว่ามีคนพบชายที่หมดสติอยู่ในวันที่ 30 ธันวาคม 2566 ซึ่งแพทย์ที่โรงพยาบาลต้องใช้อุปกรณ์พยุงชีพเพื่อช่วยชีวิตเขา และผู้ป่วยก็ไม่เคยฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกเลย อย่างไรก็ตาม พยาบาลรายหนึ่งเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยน่าจะเป็นลูกชายของอินสลีย์ ที่เพิ่งเข้ามารักษาตัวด่วนเมื่อ 2 เดือนก่อน จากเหตุเสพยาเกินขนาด เพราะทั้งคู่มีลักษณะที่เหมือนกันมาก
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นซ้ำคือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไม่มีการขอให้ครอบครัวของอินสลีย์ยืนยันอัตลักษณ์และลักษณะของลูกชายอีกรอบ ทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยบนเตียงมีรอยสักที่แขน แตกต่างไปจากลูกชายของอินสลีย์ แต่ทางครอบครัวเองก็ไม่ได้เอะใจสงสัย เพราะร่างกายของผู้ป่วยถูกคลุมอยู่ใต้ผ้าห่ม
ด้าน ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของโรงพยาบาล เผยว่า เจ้าหน้าที่เพิ่งได้รับแจ้งเรื่องการระบุตัวผู้ป่วยไม่ถูกต้อง เมื่อวันที่ 19 มกราคม ซึ่งจากนั้นทราบว่าครอบครัวที่แท้จริงของผู้ป่วยที่เสียชีวิตได้รับแจ้งข้อมูลแล้ว ซึ่งทางโรงพยาบาลต้องขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย รวมถึงขออภัยทั้ง 2 ครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์อันทุกข์ทรมานนี้ ทางโรงพยาบาลอยู่ระหว่างจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง และจะทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
อินสลีย์ ชี้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหมือนฝันร้ายที่กระทบกระเทือนจิตใจ มันแย่มากที่ต้องคิดว่าเธอได้สูญเสียลูกชายไป แต่ขณะเดียวกันพวกเธอก็ได้แสดงความรักทั้งหมดแก่ชายหนุ่มอีกคน โดยไม่ละทิ้งเขาไปไหน เราอยู่เคียงข้างเขาประหนึ่งว่านั่นคือลูกของเราเอง
ติดตามอ่าน ข่าวต่างประเทศ ที่น่าสนใจได้ที่นี่
ขอบคุณข้อมูลจาก CBC