แมนฯ ยูฯ กระหึ่ม! ซิวแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนสลีก เป็นสมัยที่ 3 เมื่อดวลจุดโทษดับ เชลซี 6-5 หลังเสมอ 1-1 ในเกม 120 นาที ปาฏิหาริย์ผีแดงดวลเป้าสุดระทึกตามหลังอยู่ 3-4 อีกตุงเดียวสิงห์บลูแชมป์ ทว่า "เทอร์รี่" ลื่นสนามยิงพลาด
ศึกฟุตบอลฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ ที่สนามลุซนิกี สเตเดียม ในกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นการเจอกันระหว่าง "ผีแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมแชมป์พรีเมียร์ชิพฤดูกาลล่าสุดและอดีตแชมป์รายการนี้ 2 สมัย (1968, 1999) พบกับ "สิงห์สำอาง" เชลซี ทีมเพื่อนร่วมลีกที่เพิ่งเข้าชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรก
สำหรับ 11 คนแรกของขุนพล "เร้ด เดวิลส์" มีเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เป็นผู้รักษาประตู แผงหลังจากซ้ายไปขวามี พาทริซ เอฟรา, เนมานยา วีดิช, ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ เวส บราวน์ ส่วนแดนกลางมี คริสเตียโน โรนัลโด, ไมเคิล คาร์ริค, พอล สโคลส์ และ โอเวน ฮาร์กรีฟส์ ขณะที่แนวรุกใช้ เวย์น รูนีย์ กับ คาร์ลอส เตเบซ
ขณะที่ อาฟรัม แกรนท์ กุนซือชาวยิวของ เชลซี ส่ง ปีเตอร์ เช็ก ทำหน้าที่มือหนึ่งยืนเฝ้าเสา ส่วนแผงหลังมี แอชลีย์ โคล ที่ได้รับบาดเจ็บข้อเท้าระหว่างซ้อมถูกเข็นลงสนามทำหน้าที่ร่วมกับ 2 เซนเตอร์ฮาล์ฟ ริคาร์โด คาร์วัลโญ และ จอห์น เทอร์รี ส่วนแบ๊กขวาใช้ มิคาแอล เอสเซียง ในแดนกลางมี โคลด มาเกเลเล, แฟรงค์ แลมพาร์ด, มิชาเอล บัลลัค ขณะที่ โจ โคล และ ฟลอรองต์ มาลูดา เป็นตัวรุกด้านริมเส้นซ้าย-ขวา และกองหน้าตัวเป้าเป็น ดิดิเยร์ ดร็อกบา
เกมช่วง 20 นาทีแรก แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่า แต่ยังไม่มีโอกาสลุ้นทำประตู ขณะที่ เชลซี ก็ยังเล่นได้เหนียวแน่น นาที 21 สโคลส์ วิ่งไปตามสกัด มาเกเลเล ก่อนที่ สโคลส์ โดนเท้าเกี่ยวเข้าที่หน้าจนเลือดไหลและโดนใบเหลืองด้วยกันทั้งคู่
กระทั่งนาที 26 แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เป็นฝ่ายขึ้นนำ 1-0 ได้สำเร็จ หลังจาก บราวน์ ทำชิ่งกับ สโคลส์ ก่อนที่ บราวน์ เปิดบอลโด่งมาให้ โรนัลโด ขึ้นโขกตุงตาข่ายชนิดที่ เช็ก ได้แต่ยืนมองเท่านั้น ซึ่งนับเป็นประตูที่ 42 ของเขาในฤดูกาลนี้ และเป็นประตูที่ 8 ในแชมเปี้ยนส์ลีก หลังเสียประตู เชลซี เร่งเกมบุก ขณะที่ "เร้ด เดวิลส์" อาศัยโต้กลับเร็ว โดยได้ลุ้นประตูที่สองจากจังหวะที่ เตเบซ โหม่งระยะเผาขนแต่ เช็ก ล้มตัวเซฟไว้ได้ ก่อนที่ คาร์ริค ได้โอกาสวิ่งตามมาซ้ำกลางประตูแต่นายทวารเชลซี ยังลุกขึ้นมาทุบบอลออกไปได้อีกครั้ง จนช่วงทดเจ็บครึ่งแรก เชลซี ก็ตามตีเสมอได้สำเร็จหลังจาก เอสเซียง ซัดไกลลูกไปแฉลบ ริโอ ทำเอา ฟาน เดอร์ ซาร์ เสียจังหวะ และเป็น แลมพาร์ด ที่วิ่งตามเข้ามากระทุ้งเผาขนไปตุงตาข่ายตีเสมอ 1-1
เข้าสู่ครึ่งหลัง เชลซี กลับมาทำบุกได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด สามารถสร้างโอกาสหวาดเสียได้หลายครั้ง ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำเกมบุกแทบไม่ขึ้น ไม่มีโอกาสลุ้นประตู มาถึงนาที 77 เชลซี ยังบุกดีกว่าเหมือนเดิมและเกือบจะแซงขึ้นนำ 2-1 เมื่อ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ซัดไกลนอกกรอบเขตโทษกว่า 25 หลา ลูกพุ่งโค้งผ่านมือ ฟาน เดอร์ ซาร์ แต่บอลดันไปชนเสา พลาดโอกาสขึ้นนำอย่างน่าเสียดาย มาถึงนาที 86 เฟอร์กี เปลี่ยนเอา ไรอัน กิ๊กส์ ลงสนามแทน สโคลส์ ทำให้ กิ๊กส์ ทำสถิติลงเล่นมากที่สุดของสโมสรที่ 759 นัด แซงสถิติเดิมของ เซอร์บ็อบบี ชาร์ลตัน ที่ทำไว้ที่ 758 นัด แต่จากนั้นไม่มีประตูอีก จบ 90 นาทีเสมอ 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที แต่ทว่าว่าทั้งสองทีมก็ยังทำประตูเพิ่มกันไม่ได้ ต้องดวลถึงยิงจุดโทษ
ผลการดวลจุดโทษปรากฏว่า ในขณะที่ เชลซี นำอยู่ 4-3 โดยถึงคิวของ เทอร์รี่ ที่หากยิงเข้าก็จะสามารถคว้าแชมป์ไปครอง แต่ทว่า เจที กลับพลาดเมื่อเกิดเสียจังหวะลื่นทำให้ยิงบอลออกข้างเสาไปชนิดทำให้แฟนเงียบกริบกันทั้งสนาม ก่อนเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่พลิกเอาชนะไปด้วยสกอร์ 6-5 คว้าถ้วยแชมป์ยุโรปใบใหญ่เป็นสมัยที่ 3
ข้อมูลและภาพประกอบจาก
