โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัย 2 ปราศรัยแรกหวังพาอเมริกามั่งคั่ง เล็งเก็บภาษีการค้า มุ่งทวงคืนคลองปานามา
ภาพจาก JIM WATSON / POOL / AFP
วันที่ 21 มกราคม 2568 กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐฯ ได้มีการจัดพิธีต้อนรับ โดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ที่รัฐสภา โดย ทรัมป์ ได้กล่าวคำปฏิญาณต่อประธานคณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯ เพื่อสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ นับเป็นการกลับมาสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งเป็นสมัยที่ 2 หลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งไปเมื่อ 4 ปีก่อน
ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตน โดยช่วงหนึ่งเขาประกาศว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ความเสื่อมถอยของอเมริกาจะสิ้นสุดลง ยุคทองของอเมริกาจะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดของเรา คือการสร้างชาติที่ภาคภูมิใจ เจริญรุ่งเรือง และมีอิสระ
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ ยังเปิดเผยถึงแนวทางการบริหารประเทศหลังขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 โดยให้ลำดับความสำคัญเรื่องของปัญหาผู้อพยพเป็นอันดับแรก โดยมีแนวคิดจะประกาศภาวะฉุกเฉินที่ชายแดนทางใต้ที่ติดกับเม็กซิโก โดยจะส่งทหารไปที่ชายแดนเพื่อเป็นการต่อต้านการรุกรานประเทศ และยังให้คำมั่นว่า จะนิยามให้กลุ่มค้ายาเสพติดเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างประเทศ
"การเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายทั้งหมดจะต้องยุติทันที และเราจะเริ่มกระบวนการส่งตัวคนต่างด้าวที่ก่ออาชญากรรมหลายล้านคนกลับไปยังประเทศต้นทางของพวกเขา"
ภาพจาก JIM WATSON / AFP
ประเด็นด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ สัญญาว่าจะทำให้ประเทศอเมริกากลายเป็น "ประเทศที่ร่ำรวยอีกครั้ง" หนึ่งในนั้นคือการจัดเก็บรายได้จำนวนมหาศาล จากภาษีการค้าต่างประเทศ ขณะที่รัฐบาลดำเนินการฟื้นฟูอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ โดยให้คำมั่นว่าจะเอาชนะภาวะเงินเฟ้อและ ลดต้นทุนและราคาสินค้าอย่างรวดเร็ว รวมทั้งให้ความสำคัญเรื่องพลังงานในประเทศ จะเริ่มการขุดเจาะน้ำมัน และหันมาส่งออกพลังงานไปทั่วโลก
นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังคงย้ำในแนวคิดที่ต้องการให้สหรัฐฯ ควบคุมคลองปานามา โดยจะยึดคลองกลับมา รวมทั้งยังมีแนวคิดเปลี่ยนชื่อ อ่าวเม็กซิโก ให้เป็น อ่าวอเมริกา อีกด้วย
ทรัมป์ เผยว่า เตรียมจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่มุ่งหมายให้หยุดการเซ็นเซอร์ทันที เพื่อนำเสรีภาพในการพูดกลับคืนมาในอเมริกา ซึ่งเขายังให้คำมั่นว่าจะยุติโครงการความหลากหลายที่รัฐบาลส่งเสริม และเผยด้วยว่า นโยบายอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ จะยอมรับเพศเพียงสองเพศ คือ ชายและหญิงเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก Aljazeera, NEXSTAR, BBC, The Conversation, Reuters
ภาพจาก JIM WATSON / POOL / AFP
วันที่ 21 มกราคม 2568 กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐฯ ได้มีการจัดพิธีต้อนรับ โดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ที่รัฐสภา โดย ทรัมป์ ได้กล่าวคำปฏิญาณต่อประธานคณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯ เพื่อสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ นับเป็นการกลับมาสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งเป็นสมัยที่ 2 หลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งไปเมื่อ 4 ปีก่อน
ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตน โดยช่วงหนึ่งเขาประกาศว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ความเสื่อมถอยของอเมริกาจะสิ้นสุดลง ยุคทองของอเมริกาจะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดของเรา คือการสร้างชาติที่ภาคภูมิใจ เจริญรุ่งเรือง และมีอิสระ
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ ยังเปิดเผยถึงแนวทางการบริหารประเทศหลังขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 โดยให้ลำดับความสำคัญเรื่องของปัญหาผู้อพยพเป็นอันดับแรก โดยมีแนวคิดจะประกาศภาวะฉุกเฉินที่ชายแดนทางใต้ที่ติดกับเม็กซิโก โดยจะส่งทหารไปที่ชายแดนเพื่อเป็นการต่อต้านการรุกรานประเทศ และยังให้คำมั่นว่า จะนิยามให้กลุ่มค้ายาเสพติดเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างประเทศ
"การเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายทั้งหมดจะต้องยุติทันที และเราจะเริ่มกระบวนการส่งตัวคนต่างด้าวที่ก่ออาชญากรรมหลายล้านคนกลับไปยังประเทศต้นทางของพวกเขา"
ภาพจาก JIM WATSON / AFP
ประเด็นด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ สัญญาว่าจะทำให้ประเทศอเมริกากลายเป็น "ประเทศที่ร่ำรวยอีกครั้ง" หนึ่งในนั้นคือการจัดเก็บรายได้จำนวนมหาศาล จากภาษีการค้าต่างประเทศ ขณะที่รัฐบาลดำเนินการฟื้นฟูอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ โดยให้คำมั่นว่าจะเอาชนะภาวะเงินเฟ้อและ ลดต้นทุนและราคาสินค้าอย่างรวดเร็ว รวมทั้งให้ความสำคัญเรื่องพลังงานในประเทศ จะเริ่มการขุดเจาะน้ำมัน และหันมาส่งออกพลังงานไปทั่วโลก
นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังคงย้ำในแนวคิดที่ต้องการให้สหรัฐฯ ควบคุมคลองปานามา โดยจะยึดคลองกลับมา รวมทั้งยังมีแนวคิดเปลี่ยนชื่อ อ่าวเม็กซิโก ให้เป็น อ่าวอเมริกา อีกด้วย
ทรัมป์ เผยว่า เตรียมจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่มุ่งหมายให้หยุดการเซ็นเซอร์ทันที เพื่อนำเสรีภาพในการพูดกลับคืนมาในอเมริกา ซึ่งเขายังให้คำมั่นว่าจะยุติโครงการความหลากหลายที่รัฐบาลส่งเสริม และเผยด้วยว่า นโยบายอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ จะยอมรับเพศเพียงสองเพศ คือ ชายและหญิงเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก Aljazeera, NEXSTAR, BBC, The Conversation, Reuters