x close

เห็นต่างอย่างสันติ





ภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

          ผมต้องขอขอบคุณทุกๆฝ่ายที่อยู่เบื้องหลัง ในการทำให้บรรยากาศ เมื่อค่ำคืนวันเสาร์ที่ 31 พ.ค. 2551 ซึ่งเกือบจะเป็น "วันเสาร์ระทึกขวัญ" กลับกลายมาเป็นวันเสาร์แห่งความสงบและสันติได้อีกวาระหนึ่ง

          ทุกๆ ฝ่ายในที่นี้ผมหมายถึง ท่านรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ซึ่งล่าสุดได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยสมบูรณ์แล้ว) ท่านผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ลงมาถึงตำรวจทุกๆคนที่ไปปฏิบัติหน้าที่ ณ บริเวณสะพานมัฆวาน และถนนราชดำเนินไปจนถึงฝ่ายพันธมิตร ที่ชุมนุมด้วยความสงบไม่ยั่วยุเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีแต่รอยยิ้มและคำทักทายที่สุภาพอ่อนโยน

          ผมไม่แน่ใจว่าจะต้องขอบคุณทางฝ่ายทหารด้วยหรือไม่ เพราะทั้งท่าน ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ.กล่าวตรงกันว่า ทหารไม่มีการตระเตรียมอะไร ทุกคนอยู่เฉยๆ ในกรมในกองตามปกติ แต่ก็เอาเถอะ คำขอบคุณไม่ต้องซื้อหามาจากไหน สามารถผลิตและสร้างได้จากใจของเราเอง ผมก็ขอขอบคุณทางฝ่ายทหารไว้ด้วย ณ ที่นี้ จากการที่ท่านอยู่เฉยๆ ไม่ได้เตรียมการอะไรเลยนี่แหละครับ

          ต้องยอมรับว่าบรรยากาศหลัง 10 โมงเช้า วันเสาร์หลังจากที่นาย สมัคร สุนทรเวช ในฐานะนายกรัฐมนตรีออกมากล่าวทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง 11) จบแล้ว
ได้เกิดความเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ด้วยน้ำเสียง ด้วยสีหน้าสีตาตลอดจนถ้อยคำที่ใช้รวมๆกัน แม้จะไม่มีคำว่า "สลายม็อบ" เลยก็ตาม

          แต่สำหรับคนที่ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ จะต้องเข้าใจว่าจะมีการสลาย หรือการเคลียร์ในคืนนี้ (31 พ.ค.) จากคำพูดโดยรวมของท่าน ผมนั่งฟังอยู่ 2-3 คน ในครอบครัวยังอกสั่นขวัญหายไปด้วยกัน และเมื่อมาอ่านบทความในหนังสือพิมพ์ต่างๆ ที่เขียนสะท้อนคำกล่าวของคุณสมัคร ก็ล้วนแสดงความเห็นเป็นทำนองเดียวกันว่า จะมีการแตกหักแน่ๆ

          ในคอลัมน์ผมเอง นอกจากวิงวอนให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆแล้ว ยังบอกท่านผู้อ่านด้วยว่า ผมเริ่มต้นสวดมนต์บท อิติปิโส ภควา ไปแล้วหนึ่งจบขณะเขียนต้นฉบับ หลังจากนั้น ผมก็สวดอีกหลายจบ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงอันไม่พึงปรารถนาขึ้น

          วันรุ่งขึ้น นายกรัฐมนตรีกลับมาพูดอีกหน คราวนี้ใช้ถ้อยคำที่เบาลง และกล่าวเป็นเชิงแก้ตัวว่า ไม่เคยใช้คำว่าสลายม็อบ ไม่มีคำว่าม็อบแม้สักคำเดียว เป็นการเข้าใจผิดกันไปเอง ผมไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดอะไรอีกในเรื่องนี้ และไม่ประสงค์ จะมาจับผิดว่าท่านพูดแรงจริงๆ หรือไม่? หรือว่าผมเป็นคนขวัญอ่อน คิดมากไปเอง เพราะสิ่งที่ท่านได้พูดได้กล่าวไปนั้น มีผู้คนรับฟังเป็นล้านๆคนทั่วประเทศ ซึ่งผมเชื่อว่าประชาชนที่รับฟังก็คงจะใช้วิจารณญาณตัดสินใจกันไปแล้ว ว่ามีความรู้สึกอย่างไรต่อการพูดของท่านเมื่อ 31 พ.ค. ท่านเองก็คงจะได้รับเสียงสะท้อนกลับมาไม่น้อย จึงต้องมากล่าวในเชิงออกตัว หรือแก้ตัวในวันต่อมา

          เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ผ่านไปด้วยดีอย่างนี้ เราก็ควรจะขอบคุณทุกๆคนในเหตุการณ์ที่สามารถควบคุมสติไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม และหวังว่าคงจะควบคุมไว้ตลอดไป ที่น่าเป็นห่วงก็ตรงที่การชุมนุมยังคงดำเนินต่อ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเมื่อใด

          เนื่องจากสถานที่ตั้งของการชุมนุมครั้งนี้ไม่เหมาะแก่การยืดเยื้อ ไม่เหมือนที่สนามหลวงครั้งก่อนๆที่ไม่รบกวนคนอื่นๆ มากนัก แต่ ณ สะพานมัฆวานและถนนราชดำเนินนั้น เป็นถนนที่ประชาชนใช้สัญจรมาก และบริเวณใกล้ๆที่ชุมนุมก็มีโรงเรียน มีสถานที่ราชการและมีวัดที่จำเป็นต่อการบำเพ็ญกุศลอยู่ใกล้ๆ แม้การชุมนุมแสดงความคิดเห็นจะเป็นสิทธิที่กระทำได้ตามรัฐธรรมนูญ แต่การรบกวนสิทธิผู้อื่นก็ไม่ใช่หลักการของประชาธิปไตย ซึ่งผู้ชุมนุมก็ควรต้องคำนึงในประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน

          ถามใจผม...ผมก็อยากให้การชุมนุมยุติลงก่อน...ถอยกลับไปตั้งหลักสักระยะก่อน รอให้มีอะไรที่เป็นประเด็นปัญหามากกว่านี้ค่อยระดมกันใหม่ก็คงจะกระทำได้ไม่ยาก แต่ถ้ายังยืนหยัดต่อไปก็ขอให้ประเมินผลทั้งทางบวกทางลบให้รอบคอบ และขณะเดียวกันก็ขอให้ทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ใช้ความอดทนอดกลั้นต่อไปอย่างถึงที่สุด

          เอาอย่างที่คณาจารย์เขาแถลงเมื่อวานนี้ที่ธรรมศาสตร์แหละครับ...เราเห็นต่างกันได้ แต่อย่าใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องตัดสิน เรายังจะเห็นต่างกันอีกเยอะครับ ต้องควบคุมสติอารมณ์เอาไว้ให้ดีที่สุด... และจะต้องเริ่มฝึกกันเสียตั้งแต่บัดนี้



ข้อมูลจาก

"ซูม"

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เห็นต่างอย่างสันติ อัปเดตล่าสุด 4 มิถุนายน 2551 เวลา 17:11:14 3,292 อ่าน
TOP