เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
ตกขาวเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงเราก็จริงอยู่ แต่หากตกขาวทำให้คุณต้องทุกข์กาย รำคาญใจจากอาการแสบๆ คันๆ พ่วงด้วยปริมาณที่มากกว่าปกติ ยิ่งหากมีสีและกลิ่นที่แปลกไปจากเดิม พาลให้เราต้องสูญเสียความมั่นใจ และบุคลิกภาพที่ดีไป อย่างไรก็ตามหากเกิดสิ่งผิดปกติดังกล่าวให้พึงตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยว่า... คุณอาจอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่เกิดเชื้อราในช่องคลอดเข้าแล้ว
สำหรับคนที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยของโรคนี้ ก็ไม่ต้องตกใจไปค่ะ เพราะเชื้อราในช่องคลอด ไม่ใช่โรคร้ายแรง ไม่มีความรุนแรงจนทำให้เกิดการอักเสบหรือเป็นอันตรายต่อรังไข่ โพรงมดลูก หรืออุ้งเชิงกรานแต่อย่างใด อีกทั้งยังสามารถรักษาให้หายขาดได้ จะมีบางส่วนประมาณ 5-8% เท่านั้นที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก อาจเป็นเพราะการดื้อยา หรือการที่ยังใส่ชุดชั้นในที่มีเชื้อรา หรือใส่ชุดรัดๆ ฟิตๆ อยู่
ในปัจจุบันจากสถิติ พบว่า ผู้หญิงไทย 1 ใน 10 คน เกิดอาการตกขาวดังกล่าว และคนที่มีโอกาสเป็นมากคือ คนที่รักษาความสะอาดมากที่สุด (พอๆ กับคนที่สกปรกที่สุด)
ลักษณะตกขาวโดยทั่วไปที่เป็นปกติ
ตกขาวที่ปกตินั้นจะมีลักษณะเป็นเมือกขาวขุ่น ไม่มีกลิ่น หรืออาจจะมีกลิ่นออกเปรี้ยวเล็กน้อย แต่สำคัญคือ ต้องไม่เหม็น แสบ หรือคัน
ตกขาวที่เกิดจากเชื้อราในช่องคลอด
จะมีสีขาวหรือเหลืองและเป็นก้อนคล้ายนมบูด มีกลิ่นเหม็นอับ ปัสสาวะแสบขัด โดยช่องคลอดจะเกิดการระคายเคืองจนทำให้คันยิบๆ จนแทบทนไม่ได้ ซึ่งในคนที่มีอาการรุนแรงมากจะคันมาถึงบริเวณขาหนีบและมีอาการแสบ แดง แต่ถ้าตกขาวมีสีเขียวปนเหลือง เป็นฟองมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ และมีอาการคันร่วมด้วยล่ะก็ให้นึกถึงโรคพยาธิในช่องคลอด
สาเหตุต่างๆ ของการเกิดเชื้อราในช่องคลอด
1. เกิดจากความอับชื้น ถ้ายิ่งรัด ยิ่งอับ เชื้อราจะมาได้ง่าย แต่ถ้าสะอาดเกินไป ล้างทุกครั้งใช้น้ำยาทำความสะอาดตลอด เชื้อโรคดีดีในช่องคลอดของเราก็จะถูกทำลาย ทีนี้ไม่มีอาวุธต่อสู้กับเชื้อรา ก็มีโอกาสเป็นได้เหมือนกัน
2. การใส่แผ่นอนามัย โดยไม่เปลี่ยนระหว่างวันหรือใส่เป็นเวลานานๆ เพราะแผ่นอนามัยจะทำให้ยิ่งเกิดความอับชื้นเป็นทวีคูณ ซึ่งข้อนี้คุณหมอแนะนำว่า หากไม่ได้อยู่ในช่วงที่มีรอบเดือนไม่ควรใส่แผ่นอนามัยจะดีกว่า
3. รู้มั้ยว่ายาปฏิชีวนะนี่แหละตัวดี บางคนเป็นหวัดเรื้อรัง หรือเป็นสิว ต้องกินยารักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตัวยาจะไปทำลายเจ้าเชื้อแบคทีเรีย "แลตโตบาซีลัส" ที่มีหน้าที่ฆ่าเชื้อราในช่องคลอด ทีนี้จึงเป็นโอกาสให้เชื้อราเจริญเติบโตอยู่ภายในช่องคลอด ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ตามมาได้ ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
4. อีกสาเหตุที่หลายคนกังวัลใจอยู่.... โรคนี้น่ะมักไม่ได้เกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์
1. พบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ประมาณ 10-30% เนื่องจากปัสสาวะบ่อย ทำให้เกิดความอับชื้น รวมถึงระดับฮอร์โมนที่สูงมากขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ ทั้งนี้อยู่ในวินิจฉัยของแพทย์
2. ผู้หญิงปกติ ในวัยเจริญภัณฑ์ขึ้นไป พบได้ประมาณ 10% และยังพบว่าคนที่ไม่มีอาการใดๆ เมื่อตรวจภายในบางรายก็พบว่ามีเชื้อราในช่องคลอดแอบแฝงตัวอยู่ ซึ่งมีทั้งเชื้อราที่ไม่แสดงอาการ (ส่วนใหญ่ 80-90% เป็นสายพันธุ์ Candida albicans) และแบบที่แสดงอาการอย่างชัดเจน
สิ่งที่ควรทำเมื่อสงสัยว่าจะเกิดโรคนี้ขึ้นกับตัวเอง
1. เบื้องต้นแนะนำว่าให้ทานโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวให้มากๆ เข้าไว้ "แลคโตบาซิลลัส" ช่วยคุณได้
2. พักผ่อนให้พอ ไม่เครียด ทำร่างกายให้แข็งแรง จะได้มีภูมิต้านทานอยู่เสมอ
3. ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นด้วยน้ำสะอาด และเช็ดให้แห้งก็พอ
4. ใส่ชั้นในเป็นผ้าฝ้ายหรือผ้าที่ระบายอากาศได้ดี เวลาซักทำความสะอาดแล้ว ควรตากในที่แดดส่องถึง
5. สำหรับคนที่เริ่มมีอาการของโรคช่องคลอดติดเชื้อรา ควรเปลี่ยนชุดชั้นในใหม่ทั้งหมด หรือควรต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที แล้วตากแดดให้แห้งก่อนนำมาใช้ใหม่
6. อาการของโรคสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยารับประทาน และยาสอดหรือยาเหน็บ แต่วิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือการไปพบแพทย์ด้วยตัวเอง ไม่แนะนำให้ซื้อยามาใช้เอง เพราะอาจจะไม่ตรงกับโรค ทำให้อาการที่เป็นอยู่อาจยิ่งลุกลามและรุนแรงขึ้นอีกได้
ที่สำคัญเมื่อเกิดอาการแล้วก็ไม่ควรปล่อยปละละเลย เพราะอาจทำให้เชื้อโรคลุกลามเกิดการอักเสบ เป็นฝีที่ปีกมดลูกต้องผ่าตัด จนถึงขั้นต้องตัดมดลูก หรือปีกมดลูกทิ้งไปเลยเชียวนะ... ดังนั้นหากพบสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับการตกขาวต้องรีบรักษา หรือพบแพทย์โดยด่วนค่ะ
ข้อมูลจาก
- bantakhospital.com
- md.chula.ac.th