x close

ภัยร้าย ซิลิโคน สวยเสี่ยง...ซ่อมแพง



          "คุณหมอค่ะ หนูไปฉีดเสริมจมูกมาแล้วมันไหลย้อยอยู่ตรงปลายจมูก หนูต้องไปแก้ด้วยการเลาะออกแล้วเสริมซิลิโคนแท่ง แต่มันเอาออกได้ไม่เยอะ 

          มันอยู่ที่ปลายจมูกเยอะมากและไหลไปทั่ว หมอเลยแนะนำให้ฉีดสลายซิลิโคนหลังจากเสริมซิลิโคนแท่ง แต่ฉีดไป 5 เข็ม เนื้อสันจมูกเริ่มบางจนเห็นเส้นเลือด และเนื้อตรงปลายจมูกไม่เรียบเนียน มันนูนขึ้นมา หมอพอมีวิธีเอาออกได้มั้ยค่ะ" หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม บอกเล่าความทุกข์ใจ พร้อมโพสต์ภาพใบหน้าตัวเองลงในเว็บบอร์ดของคลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่ง 

          "ตอนนี้ยังไม่แนะนำอะไรครับ รอดูผลจากการฉีดดูก่อน เพราะยาที่ฉีดออกฤทธิ์อยู่ได้นานพอสมควร คงต้องทิ้งไว้เป็นปีครับ แล้วค่อยประเมินดูอีกที" ความทุกข์ใจของเธอได้รับเพียงคำปลอบประโลมจากคุณหมอศัลยกรรมที่เข้ามาตอบกระทู้ และบอกให้อดทนรอดูผลการฉีดสารในกลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อสลายเนื้อเยื่อพังผืดทำให้ฝ่อลง แต่ไม่ได้ช่วยสลายซิลิโคน และอาจทำให้เนื้อเยื่อปกติบางลง เพิ่มโอกาสเสี่ยงให้ซิลิโคนแท่งทะลุได้ 



          เช่นเดียวกับ "ยู" นักศึกษาชั้นปีที่ 2 จากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง กำลังมีชะตากรรมไม่ต่างจากสาวสวยหน้าใสอีกหลายๆ คนที่พลัดหลงเข้าสู่วงจรเสริมความงามด้วยการฉีดสารสังเคราะห์ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 

          "ยู" สาวน้อยวัย 22 เธอมีดวงตากลมโตเป็นประกาย ใบหน้าสวยได้รูป ผิวขาวเรียบเนียน เคยผ่านเข้ารอบ 10 คนสุดท้ายมิสยูลีกมาแล้ว และเกือบจะได้เป็นนางแบบโฆษณาแชมพูยี่ห้อหนึ่ง แต่ความฝันก็ต้องสลายไปชั่วพริบตา 

          เมื่อ 3 ปีก่อนเธอตัดสินใจ "ลบรอยย่นใต้ดวงตา" แม้ว่าจะพยายามเสาะหาข้อมูลและสอบถามจากเพื่อนๆ แนะนำให้เลือกสถานพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ซึ่งมีความน่าเชื่อถือและไว้ใจได้กว่าหมอประเภทหิ้วกระเป๋าฉีดตามห้องพัก



           ทว่า...เธอคิดผิดถนัด! 

          "เพื่อนๆ ทักว่ามีรอยย่นใต้ตา ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอถูกทักบ่อยๆ เริ่มเกิดความไม่มั่นใจ จึงตัดสินใจฉีดโบท็อกซ์ หนูพยายามศึกษามาแล้วว่าไม่มีอันตรายและสามารถสลายตัวได้ แต่พอฉีดจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเอาอะไรมาฉีดให้ เพราะต้องวางยาสลบ พอตื่นขึ้นมารู้สึกมึนๆ และพบว่าหน้าบวมมาก" ยูย้อนความทรงจำ 

          มูลค่าความสวยที่ยูต้องจ่ายคราวนั้นเป็นเงินกว่า 2 หมื่นบาท แถมยังต้องทนทุกข์ใจกับอาการบวมอืดของใบหน้านานกว่า 2 สัปดาห์ เมื่ออาการบวมทุเลาลง แทนที่จะได้ใบหน้าอวบอิ่มไม่มีริ้วรอย กลับพบความผิดปกติใต้ตาขวาที่ยังบวมมาจนถึงทุกวันนี้ ขณะที่ใต้ตาด้านซ้ายก็เริ่มมีรอยเขียวคล้ำขึ้นเรื่อยๆ



          "ต้องคอยเอาเส้นผมมาปิดหน้าและเดินเอียงตลอดค่ะ เวลามีงานถ่ายแบบเข้ามาก็ต้องปฏิเสธไป หากพ่อแม่ ญาติ พี่น้อง หรือแฟน ถามถึงรอยคล้ำใต้ดวงตา ก็จะบอกปัดไปว่าประสบอุบัติเหตุรถชน" ยูเล่าด้วยน้ำเสียงเศร้า 

          สุดท้ายยูต้องหันไปพึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมใบหน้าอีกราย เพื่อแก้ไขความบกพร่องที่เกิดขึ้นและค้นพบความจริงว่า "โบท็อกซ์" ที่ว่านั้นเป็นเพียง "ซิลิโคนเม็ดจิ๋ว" ฝังอยู่ในผิวหนังใต้ดวงตา และไม่สามารถรักษาให้หายได้เหมือนปกติ ทำได้เพียงแค่ให้ยาลดปฏิกิริยาให้เหลืออยู่ในร่างกายน้อยที่สุด 



          หญิงสาววัยละอ่อน ผู้หญิงในร่างชาย ตลอดจนสาวแก่แม่ม่ายหลายราย มีความตั้งใจที่จะเพิ่มความสวยงามให้ตัวเองด้วยการฉีดสารสังเคราะห์เพิ่มความอวบอิ่มสวยงาม แต่กลับกลายเป็นการตัดสินใจผิดพลาด ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ บางรายโชคดีสามารถแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ แต่บางรายต้องก้มหน้ายอมรับสภาพความบิดเบี้ยว ผิดรูปร่าง ตลอดจนการอักเสบของใบหน้า โดยมิอาจเยียวยารักษาให้หายได้ดั่งเดิม แม้แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ทำได้เพียงแค่ปลอบประโลมเท่านั้น! 

          "ความผิดพลาดจากการทำศัลยกรรมเสริมความงาม เกิดจากตลาดมีความต้องการมาก แต่ผู้ให้บริการที่มีคุณภาพและจริยธรรมมีน้อย กลายเป็นช่องว่างให้มีคนอื่นมาทำแทน นั่นก็คือหมอเถื่อน"นพ.ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย เล่าถึงที่มาของปัญหาแพทย์ศัลยกรรมตกแต่งที่กำลังสร้างปัญหามากมายในสังคม 

          นพ.ชลธิศ ระบุว่า ในวงการศัลยแพทย์ตกแต่งมีอยู่ 4 กลุ่ม คือ ศัลยแพทย์ด้านความงามที่มีประสบการณ์สูง มีความเชี่ยวชาญ และมีจริยธรรม ศัลยแพทย์ฝึกอบรมที่เรียกว่า "ศิษย์มีครู" หากมีปัญหาอะไรก็ขอความช่วยเหลือจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญช่วยแก้ไขให้ได้ ส่วนแพทย์ที่ไม่ผ่านการฝึกอบรมเรียกว่า "ศิษย์ไม่มีครู" เป็นหมอที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรง แต่ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองแล้วนำมาทดลองใช้กับคนไข้ โดยไม่คำนึงถึงหลักจริยธรรม และบุคคลที่พอจะมีความรู้ด้านศัลยกรรมความงามอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่แพทย์เรียกว่า "หมอเถื่อน" โดย 2 กลุ่มหลังนี้กำลังสร้างปัญหามากที่สุด



          กลุ่มศิษย์ไม่มีครูและหมอเถื่อน มักจะนำสารสังเคราะห์ต้องห้าม อย่าง "ซิลิโคนเหลว" มาฉีดให้ลูกค้า ด้วยการแอบอ้างว่าเป็นสารเสริมความงามที่ปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียง แต่เมื่อลองไล่ย้อนไปสู่ต้นตอส่วนผสมของสารไม่ว่าจะเป็นโบท็อกซ์ คอลลาเจน ไขมันเทียม ล้วนมีส่วนผสมของซิลิโคนเหลวอยู่ 

          ทั้งนี้ ซิลิโคนเหลว เมื่อถูกฉีดเข้าสู่ใบหน้าและร่างกายจะให้ผลกระทบแตกต่างกัน คือ หน้าผาก : บริเวณที่ฉีดให้หน้าผากโหนกนูน มักเกิดปัญหาซิลิโคนเหลว ไหลมาที่บริเวณตาบน จมูก : เมื่อฉีดซิลิโคนเหลวได้ประมาณ1 ปี จะไหลออกมาด้านข้างของจมูก ทำให้จมูกดูบวมใหญ่ แต่จะไม่มีสันจมูกตามธรรมชาติ แก้ม : เมื่อฉีดซิลิโคนเหลวบริเวณโหนกแก้ม เมื่อเวลาผ่านไปมันจะไหลลงมาที่กระพุ้งแก้มทำให้ดูเหมือนคนมีอายุมาก เนื่องจากมีการห้อยย้อยของกระพุ้งแก้ม เหมือนกับแก้มของผู้สูงอายุ และ คาง : มีปัญหาเรื่องการไหลย้อย ทำให้คางยาวเกินไป และการไหลลงไปที่จุดต่ำสุดของคาง ผิวหนังบริเวณที่ต่ำสุดจะแดงและแข็งทำให้ดูไม่สวยงาม 

          หน้าอก : มักเกิดเป็นก้อนแข็งและตะปุ่มตะป่ำ ทำให้คล้ำดูไม่เป็นธรรมชาติ และยังทำให้การตรวจหามะเร็งเต้านมได้ยาก อวัยวะเพศ : มีการนำซิลิโคนเหลวมาฉีดอวัยวะเพศชายและหญิง เวลาอวัยวะเพศแข็งและเมื่อมีการเสียดสีก็จะเกิดเป็นแผลได้ง่าย และ สะโพก : ซิลิโคนจะไหลจากสะโพกมาที่ต้นขา ทั้งนี้คนไข้มักจะฉีดซิลิโคนเหลวจำนวนมาก ทำให้เป็นไตแข็งและอักเสบได้ 

          "ใบหน้าจากการฉีดซิลิโคนเหลวสามารถแก้ไขได้เฉพาะบริเวณจมูกและคาง โดยขูดเอาซิลิโคนเหลวออกมาแล้วเสริมด้วยไขมัน แต่หากเป็นบริเวณอื่นจะไม่สามารถแก้ไขได้ หากมีการขูดซิลิโคนออกมาอาจมีผลกระทบต่อเส้นประสาทบริเวณใบหน้าได้" นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย และเจ้าของผลงานเสริมจมูกด้วยการปลูกย้ายไขมัน 

          ด้าน นพ.ธารา วงศ์วิริยางกูร สาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่ง ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เคยกล่าวในเว็บไซต์สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทยว่า ซิลิโคนเหลว พาราฟิน น้ำมันมะกอก เป็นต้น เป็นสารที่ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย เพราะสารสังเคราะห์กลุ่มนี้เป็นสารที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยจะมีบุคคลที่อ้างตัวเป็นแพทย์นำสารดังกล่าวโดยเฉพาะซิลิโคนเหลว หลอกประชาชนว่าเป็นไขมันเทียม คอลลาเจน ฉีดเพื่อให้จมูกโด่งขึ้น คางยาวขึ้น แก้มอูมขึ้น ฉีดหน้าอก สะโพก ตามแต่อยากจะให้ส่วนใดอูมใหญ่ขึ้น 

          "ซิลิโคนเหลว มีราคาถูกและอยู่ถาวร แต่มีภาวะแทรกซ้อนมากมาย ตั้งแต่อักเสบเป็นๆ หายๆ ไหลย้อยไปสู่ตำแหน่งอื่น บริเวณที่ฉีดดูอูมบวมแข็งเป็นไต ทำให้หน้าตาดูประหลาดผิดธรรมชาติ เมื่อมีปัญหาคนไข้ก็จะมาพบแพทย์เพื่อให้แก้ไข บางคนเข้าใจผิดนึกว่าสามารถดูดออกได้ ความจริงแล้วสารดังกล่าวไม่สามารถดูดออกได้ และการผ่าตัดยังไม่สามารถเอาส่วนที่ฉีดออกมาได้หมด อีกทั้งยังต้องตัดเอาเนื้อเยื่อที่ดีของคนไข้ที่มีสารแปลกปลอมแทรกอยู่ออกมาอีกด้วย เช่น หากสารเหล่านี้อยู่ที่แก้มหรือขมับที่มีเส้นประสาทอยู่ การผ่าตัดอาจทำอันตรายต่อเส้นประสาท ทำให้ปากเบี้ยว ยักคิ้วไม่ขึ้น มีบางคนได้รับการฉีดเพื่อให้หน้าอกโตขึ้นผลคือหน้าอกแข็งเป็นก้อน บางรายแตกเป็นแผลเรื้อรัง เป็นที่น่าเสียดายที่ทำให้การผ่าตัดรักษาต้องตัดเนื้อหน้าอกทิ้ง และยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้าอกอีก" นพ.ธารา ระบุ

          พิษภัยของซิลิโคนเหลวยังสร้างรอยร้าวในจิตใจของสาวอยากสวยจำนวนมาก ที่หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของหมอเถื่อน แม้ว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะประกาศเตือนถึงพิษภัยของสารสังเคราะห์ตัวนี้บ่อยครั้งว่า ซิลิโคนเหลวที่ใช้ฉีดเข้าสู่ร่างกายในทางการแพทย์เป็นเครื่องมือแพทย์ทั่วไป การนำเข้าจะต้องมีหนังสือรับรองการขาย (Certificate of Free Sale) ในประเทศผู้ผลิตมาแสดงต่อ อย.แต่การนำเข้าซิลิโคนเหลวที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นลักษณะของการลักลอบนำเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ผู้นำเข้ามีความผิดตามมาตรา 75 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2531 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 250,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

          ปัจจุบันยังมีภัยแฝงรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นในวงการศัลกรรมตกแต่งเสริมความงาม มีการแอบอ้างนวัตกรรมล่าสุดนำซิลิโคนมาเล่นแร่แปรธาตุเป็น "ซิลิโคนจิ๋ว" เพียง 0.02 มิลลิเมตร เพื่อฉีดเสริมส่วนต่างๆ ของร่างกาย ล้วนสร้างผลกระทบไม่ต่างจากการใช้สารต้องห้ามอย่าง ซิลิโคนเหลว ทำให้สาวๆ อยากสวยต้องตกเป็นเหยื่อและต้องจ่ายค่าซ่อมความสวยเพิ่มอีกเท่าตัว 

          ล่าสุดแพทยสภากำลังร่างระเบียบข้อบังคับให้สถานพยาบาลและคลินิกศัลยกรรมตกแต่งต่างๆ ต้องติดประกาศให้ความรู้ถึงพิษภัยจากสารสังเคราะห์เพิ่มความสวยนานาชนิด อาจจะช่วยยับยั้งชั่งใจสาวอยากสวยได้บ้าง ?!! 

          รู้ทัน...สารเติมใบหน้าสวย 

          สารสังเคราะห์ที่ช่วยเติมเต็มความอวบอิ่มของอวัยวะส่วนต่างๆ บนใบหน้า แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ สารเติมเต็มแบบไม่ถาวร สารเติมเต็มแบบกึ่งถาวร สารสงเคราะห์เลียนแบบธรรมชาติ และสารธรรมชาติจากร่างกาย 

          สารเติมเต็มแบบไม่ถาวร ประกอบด้วย "Collagen" สารธรรมชาติที่สกัดจากคอลลาเจนของวัว ใช้ลดริ้วรอยที่ใบหน้าและเสริมแต่งบริเวณใบหน้าและริมฝีปาก ออกฤทธิ์ประมาณ 6 เดือน สารที่นำมาใช้ในประเทศไทย ได้แก่ Zyderm และ ZYPlast (McGhan Medical, Santa Barbara CA) "Hyaluronic acid" หรือ "Hyaluran" กลุ่ม polysaccharide Hyaluronic acid สารธรรมชาติที่สกัดจนเหมือนสารในร่างกายมนุษย์ 

          สาร 2 ชนิดที่นำมาใช้ในปัจจุบัน ได้แก่

          •1.Hyaform gel สกัดจากหงอนไก่ กลุ่มนี้จะมีสารที่ใช้ฉีด ได้แก่ Hyaform fineline, Hyaform, Hyaform plus ใช้ลดริ้วรอยใต้ตา ร่องแก้ม และร่องลึกบนใบหน้า โดยที่ Hyalorm fineline ใช้ฉีดใต้ตา ส่วน Hyaform plus มีอายุนานประมาณ 8 เดือน-1 ปี ใช้ฉีดร่องลึก 

          •2.Restylane สารที่สกัดมาจากน้ำตาลที่ถูกย่อยโดยแบคทีเรียสเตร็ปโตคอคคัส ได้สาร Hyarulan Restlane มีความเข้มข้นสูงกว่า Hyaform ได้แก่ Restylane และ Prolane โดยที่ Prolane สามารถอยู่ได้นานกว่า Restylane สามารถใช้ฉีดเสริมใบหน้า ริมฝีปาก และลดริ้วรอยของร่องแก้ม ส่วน Captiane เป็น hyaluran ตัวแรกที่ไม่ได้ผลิตจากสัตว์ ใช้ฉีดร่องแก้มหรือลดริ้วรอยสามารถอยู่ในร่างกายได้ประมาณ 1 ปี 

          สารเติมเต็มแบบกึ่งถาวร ได้แก่ 

          •1.Articoll เป็นสาร Polymethyl methacrylate ที่แขวนลอยอยู่ในคอลลาเจน โดยที่คอลลาเจนจะเป็นตัวพาอาคิเลตเข้าไปในเนื้อเยื่อและคอลลาเจนจะสลายไปโดยที่อาคิเลตจะอยู่ในเนื้อเยื่อต่อไป Articoll สามารถใช้ฉีดร่องแก้ม ริมฝีปาก แผลเป็น 

          •2.Dermalive Dermalive เป็นสาร methylmethacrylate เช่นเดียวกับ Articoll แต่แขวนลอยอยู่ในไฮยาลูแรน โดยที่ไฮยาลูแรนจะเป็นตัวพาอาคิเลตเข้าไปในเนื้อเยื่อแล้วจะสลายไป โดยที่อาคิเลตจะยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อต่อไป 

          •3.Bioplast เป็นซิลิโคนขนาดเล็ก แขวนลอยอยู่ในสาร Polyvinylpyrrolidone hydrogel หลังการฉีด hydro gel จะถูกดูดซึมไปใน 4 สัปดาห์ ซิลิโคนจะถูกจับโดยคอลลาเจนของร่างกาย 

          •4.Aquamid ด้วย 2.5% polyacrylamide และน้ำ 97.5% R Amazing gel เป็นสาร polyacrylamide เป็นสารที่ใช้ฉีดมีผลถาวร มีการผลิตในประเทศจีน ใช้ฉีดใบหน้าและหน้าผาก 

          •5.Radiance เป็น Hydroxyapatite สารที่เป็นไขมันและกระดูก และมีการนำมาใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมกระดูกมานาน โดยทั่วๆ ไป Radiance สามารถอยู่ได้นานประมาณ 3-6 ปี

สารสงเคราะห์เลียนแบบธรรมชาติ ได้แก่ 

          •1.Scaptra หรือ Newfill เป็น synthetic poly lactic acid เป็นสารกลุ่ม polylaclic acid ในยุโรปได้มีการใช้ฉีดใบหน้าและลดริ้วรอยในปัจจุบัน FDA สหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้ scaptra สามารถใช้ฉีดโดยถูกกฎหมายในคนไข้ที่ติดเชื้อเอชไอวี แล้วมีใบหน้าตอบ 

          •2.ซิลิโคนเหลวถือเป็นสารที่มีการนำมาฉีดเพื่อเสริมแต่ง และถือเป็นสารแปลกปลอม เมื่อฉีดเข้าร่างกายแล้วจะอักเสบอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำจัดสารแปลกปลอม โดยซิลิโคนเหลวจะไหลไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก จากประสบการณ์ของศัลยแพทย์ที่เคยดูแลคนไข้พบว่า ซิลิโคนเหลวเป็นสารที่ฉีดแล้วทำให้ใบหน้าสวยงามมาก แต่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 8 เดือน-1 ปี หลังจากนั้นสารพวกนี้จะเริ่มไหลย้อย 

สารธรรมชาติจากร่างกาย

          ปกติที่นำมาใช้ ได้แก่ ไขมัน จะดูดออกทางผิวหนังหรือหน้าขาเพื่อใช้ฉีดในส่วนต่างๆ

ข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ภัยร้าย ซิลิโคน สวยเสี่ยง...ซ่อมแพง อัปเดตล่าสุด 7 มิถุนายน 2551 เวลา 15:51:42 39,578 อ่าน
TOP