สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
ได้กลายเป็นประเด็นที่สังคมจับตาอย่างยิ่ง เมื่อกองปราบปรามได้ออกหมายเรียกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทั้ง 11 คนไปพบพนักงานสอบสวน หลังทีมทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าแจ้งความดำเนินคดีคตส.กรณีมีคำสั่งอายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว โดยกล่าวหาว่าคตส.มีเจตนากลั่นแกล้ง เลือกปฏิบัติ ซึ่งต่อมา คตส.ได้มีหนังสือถึงอดีตคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ผู้แต่งตั้ง คตส.มาทำหน้าที่ ให้คุ้มครองการทำหน้าที่ของ คตส.นั้น
ล่าสุดวานนี้ (6 มิถุนายน) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงการทำหน้าที่ของ คตส.ว่า คตส.ถือเป็นองค์กรอิสระที่จะทำงานตามกรอบของกฎหมาย ซึ่งหากทำงานไปตามอำนาจหน้าที่ที่ตัวเองมี ก็จะเกิดความศักดิ์สิทธิ์และมีความชอบธรรมในการทำงาน แต่ถ้ามีใครพยายามไปเคลมว่าเป็นหน่วยงานของตัวเอง ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์กรเช่น คตส.ก็อาจมีผลกระทบต่อการทำงานของเขา
"ความเห็นผมคือเขาก็ทำงานตามขอบเขตภารกิจหน้าที่ไป ถ้ามันมีปัญหาเรื่องฟ้องร้อง ก็อยู่ที่กฎหมาย อยู่ที่กระบวนการยุติธรรมที่จะว่ากันไปตามนั้น ซึ่งหากคตส.ต้องการให้เข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยคุ้มครองเรื่องต่างๆ นั้น คงต้องขอให้มีเรื่องมาก่อน ต้องดูว่าจะมีอำนาจหน้าที่ทำได้แค่ไหนในเรื่องการไกล่เกลี่ย ถ้ามีอำนาจหน้าที่ทำได้ก็จะให้การสนับสนุน ซึ่งองค์กรภาครัฐทั้งหมดโดยพื้นฐานต้องให้การสนับสนุนอยู่แล้ว แต่จะไปมีอิทธิพลเหนือไม่ได้" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
ขณะที่ นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. กล่าวว่า ที่ ผบ.ทบ.บอกว่ายังไม่ได้รับหนังสือจาก คตส.นั้น คตส.ก็ไม่ได้คาดหวัง เพราะไม่เคยหวังอะไรอยู่แล้ว แต่ทำตามหน้าที่ เนื่องจากก่อนหน้านี้คนที่เคยมีตำแหน่งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และขณะนี้มีตำแหน่งในปัจจุบัน บอกว่าหากมีเรื่องอะไรให้บอก เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นก็ต้องแจ้งให้ทราบ
โฆษก คตส.กล่าวอีกว่า ที่ทีมทนาย พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าการฟ้อง คตส.เป็นความผิดส่วนตัวไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่นั้น ข้อเท็จจริงคือหนังสือที่ทีมทนายส่งถึง คตส.ให้เพิกถอนการอายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว ส่งถึง คตส.ในนามคณะกรรมการ และมติการอายัดทรัพย์ก็ทำในนามของคณะกรรมการ ไม่ได้ดำเนินการส่วนตัว จึงควรแยกให้ออกระหว่างเรื่องตัวและการปฏิบัติหน้าที่ เพราะมีหลายคนแยกไม่ออก
ด้านนายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการ คตส.กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ยืนยันจะสู้ต่อไป เพราะผมไม่กลัวอะไร หาก คตส.ช่วยตัวเองไม่ได้แล้วจะช่วยสังคมอย่างไร คงไม่มีการออกหมายจับกันง่ายๆ สาเหตุที่ต้องมีการดำเนินคดีกับ คตส. เพื่อเป็นการสร้างหลักฐานให้เห็นว่า แม้แต่ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบยังถูกดำเนินคดีอาญาตามกระบวนการของศาล ซึ่งเป็นวิธีการของการต่อสู้ของผู้ที่ถูกตรวจสอบ ทีมทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณมักจะอ้างว่า คตส.กลั่นแกล้ง แต่ไม่เคยเห็นทีมทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณออกมาระบุว่าไปกลั่นแกล้งตรงไหน หากไม่มีการกระทำเกิดขึ้นจะถูกตรวจสอบได้อย่างไร จะมาบอกว่าการตรวจสอบเป็นการกลั่นแกล้งหรือ
"กระบวนการต่อต้าน คตส.มีความพยายามที่จะสกัดกั้นคนมาช่วยงาน คตส.ล่าสุดได้มีคำสั่งย้ายนางสาวกัญญานุช สอทิพย์ อธิบดีกรมบังคับคดี ที่ คตส.ดึงมาช่วยงานให้ไปเป็นผู้ตรวจราชการคดีการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ หากการย้ายอธิบดีกรมบังคับคดีครั้งนี้เป็นเพราะเข้ามาช่วยงาน คตส.จริง ตามความคิดผมว่าเป็นการรังแกผู้หญิง ผมคิดว่าคนคนนั้นอย่าเรียกว่าไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย แค่เป็นกะเทยที่ดีก็ยังเป็นไม่ได้" นายอุดม กล่าว
ขณะที่นายพิชิฏ ชื่นบาน หนึ่งในทีมทนายความของบริษัท สำนักกฎหมายนิติเอกราช จำกัด รับมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ในการฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทนายสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ คตส. กล่าวว่า ถ้าคตส.มั่นใจว่าไม่ได้กระทำความผิดอะไรก็ไม่ต้องกลัว เมื่อพนักงานสอบสวนออกหมายเรียก ก็ควรมาพบเพื่อสู้คดี แต่ คตส.กลับไม่ยอมมา ทั้งยังออกหนังสือแจ้งไปถึงใครต่อใครว่าถูกกลั่นแกล้ง เบี่ยงเบนประเด็นให้เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ควรจะยอมรับอำนาจการตรวจสอบของคนอื่นด้วย
"คดีนี้ถือเป็นคดีความส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องหน้าที่ เมื่อฝ่ายเราโดนแบบใด ฝ่ายเขาก็ควรจะต้องโดนแบบนั้น เพื่อให้กฎหมายบังคับใช้ได้อย่างเท่าเทียม ไม่ได้เลือกปฏิบัติใช้บังคับกับฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่บังคับกับอีกฝ่ายหนึ่ง อยากให้สังคมเข้าใจ คตส.ควรรีบไปพบพนักงานสอบสวนซะ อย่ามาร้องแรกแหกกระเชอแบบนี้ เพราะบ้านนี้เมืองนี้เขารู้กันดีอยู่แล้ว" นายพิชิฏ กล่าว
ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ที่นี่ค่ะ
ข้อมูลจาก
