สมัยเป็นสาวก่อนแปลงเพศ (เทรซี ลากอนดิโน) โทมัส บีตตี้ มีดีกรีเป็นถึงนางงามวัยรุ่นฮาวาย
อดีตนางงามรายนี้ถูกสมาชิกในครอบครัวของเธอเรียกว่า ตัวประหลาด หลังจากแปลงเพศแล้ว
ชายอุ้มท้องแทนเมีย อีก 4 สัปดาห์ เตรียมคลอดลูก
สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก anikakhan.wordpress.com และ dailymail.co.uk
ตะลึง ! หญิงแปลงเพศชาวมะกัน อุ้มท้องแทนเมีย เตรียมคลอดลูกสาวออกมาดูโลกในอีก 4 สัปดาห์นี้ เจ้าตัวสุดตื้นตัน หลังอัลตราซาวนด์ครั้งแรก ขอเล่าเรื่องราวให้ลูกฟังทั้งหมดเอง เผยวางแผนมีลูกเพิ่มอีกในอนาคต ขณะที่นักจิตวิทยา-นักวิชาการไทยไม่ห่วง ชี้เป็นเพศไหนก็ได้ หากดูแลลูกได้
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (8 มิ.ย.) หนังสือพิมพ์นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ของอังกฤษรายงานว่า เกิดเรื่องพิสดารขึ้น เมื่อผู้หญิงแปลงเพศชื่อ "โทมัส บีตตี้" ได้อุ้มท้องแทน "นางแนนซี" ผู้เป็นภรรยา และกำลังมีครรภ์แก่ใกล้จะคลอดในอีก 4 สัปดาห์ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นผู้ชายคนแรกของโลกที่อุ้มท้อง และคลอดลูกด้วยตนเอง เพราะถ้ามองจากภายนอกแล้ว นายโทมัสผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับผู้ชายทั่วไปไม่มีผิดเพี้ยน เพราะมีทั้งหนวดและเคราครึ้ม รวมถึงกล้ามเนื้อ และรูปร่างกำยำล่ำสัน ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่นๆ ทั่วไป
นายโทมัส อายุ 34 ปี ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ "นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์" ถึงการได้อุ้มท้องลูกว่า รู้สึกยอดเยี่ยมมาก ตอนนี้ตนและภรรยาได้เตรียมทุกอย่างสำหรับลูกไว้พร้อมแล้ว รวมถึงชื่อก็ตั้งเอาไว้แล้วเช่นกัน แต่ยังอุบเงียบเอาไว้ก่อน ที่สำคัญทั้งคู่ยังได้วางแผนเอาไว้ว่า จะมีลูกกันอีกภายหลังจากที่คลอดลูกคนนี้แล้ว แต่จะรอดูประสบการณ์ก่อนว่า การมีลูกคนแรกเป็นอย่างไร แล้วค่อยคิดเรื่องนี้ใหม่อีกหน
รายงานข่าวแจ้งว่า ในวัยเด็ก นายโทมัส มีชื่อว่า "เทรซี ลากอนดิโน" เป็นเด็กสาวที่สวยมาก และมีตำแหน่งเป็นถึงนางงามวัยรุ่นของฮาวายเลยทีเดียว เขาตัดสินใจแปลงเพศเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยตัดเต้านมทิ้ง แต่ยังคงเก็บมดลูกและรังไข่เอาไว้ ทำให้สามารถตั้งท้องแทนภรรยาได้ เพราะนางแนนซี วัย 45 ปี มีปัญหาต้องตัดมดลูกทิ้ง เมื่อถึงเวลาที่จะมีลูก โทมัสได้หยุดกินฮอร์โมนเพศชายที่เริ่มกินมาตลอด หลังจากแปลงเพศ เพื่อรังไข่จะสามารถผลิตไข่ได้อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ นายโทมัสเคยตั้งท้องลูกแฝดมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยครั้งนั้นใช้สเปิร์มที่มีผู้บริจาคให้แก่ธนาคารสเปิร์ม ด้วยการที่แนนซีเป็นคนผสมเทียมให้แก่ผู้เป็นสามี แต่โชคร้ายที่โทมัสตั้งครรภ์ในตำแหน่งที่ผิดปกติทำให้แท้ง แต่ความพยายามครั้งที่สองของพวกเขาสำเร็จ และลูกก็จะลืมตาออกมาดูโลกด้วยการผ่าท้องโดย นพ.คิมเบอร์ลี เจมส์ ในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้
นอกจากนี้ นายโทมัส ยังกล่าวด้วยว่า เมื่อลูกโตขึ้นจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกฟังด้วยตัวเอง พร้อมย้ำว่า ลูกเกิดมาจากความรักอันมากล้นของพ่อแม่ และกว่าที่ลูกจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ต้องเอาชนะความประหลาดมากมาย ทั้งอุปสรรคทางร่างกาย อุปสรรคทางสังคม และทุกๆ อย่างจนกว่าจะมาถึงจุดนี้
อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องนี้ น.ส.พรรณพิลาศ หนึ่งในตัวแทนดี้ หรือหญิงที่มีแฟนเป็นเพศเดียวกัน กล่าวว่า เป็นเรื่องยิ่งใหญ่และน่ายกย่อง เมื่อผู้แปลงเพศเป็นผู้ชายแล้วยังยอมเสียสละตั้งท้องแทนฝ่ายหญิง แสดงว่าทั้งคู่วางแผนเป็นอย่างดี มีทั้งความรักและความอบอุ่น อยากมีครอบครัวที่พร้อมด้วยพ่อแม่ลูกเหมือนคนปกติทั่วไป อยากเรียกร้องให้สังคมอย่ามองคนแค่เรื่องเพศ เพราะทุกวันนี้คนไทยส่วนใหญ่จะมองแต่ว่าเพศของตัวเองยิ่งใหญ่และถูกต้อง ไม่เคารพสิทธิในการเลือกเพศของผู้อื่น
หากกังวลว่าเด็กที่เกิดมาจะมีจิตใจผิดปกติแล้ว ก็ขอให้ศึกษาประวัติของฆาตกรโรคจิต หรือคนจิตวิปริตส่วนใหญ่ว่าเกิดมาจากครอบครัวที่มีพ่อเป็นผู้ชายแท้และแม่ก็เป็นผู้หญิงแท้ทั้งนั้นดังนั้นจึงไม่ควรตัดสินว่าเด็กที่เกิดมาจากครอบครัวรักเพศเดียวกันจะต้องมีความผิดปกติหรือแตกต่างจากเด็กทั่วไป
ด้าน น.ส.นุช นักธุรกิจวัย 30 ปีเศษ ที่แสดงตัวเป็นทอม ไม่เห็นด้วยกับผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นผู้ชายแล้วยังอยากจะมีลูก เพราะถ้าเป็นผู้ชายแล้วก็ควรให้ภรรยาตั้งท้อง หากภรรยาตั้งท้องไม่ได้ก็ควรหาเด็กกำพร้ามารับอุปการะ ผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาเป็นผู้ชายแล้วไม่ควรเดินอุ้มครรภ์ไปมา ไม่ควรทำให้สังคมสับสนวุ่นวายไปมากกว่านี้ เนื่องจากยังมีคนภายนอกบางกลุ่มที่รังเกียจและไม่ชอบกลุ่มผู้หญิงที่ทำตัวเป็นทอมอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นเรื่องแบบนี้ก็จะยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น
"นอกจากอยากมีลูกแล้ว ก็มองได้ว่า คนนี้อยากดัง หรือต้องการเป็นผู้ชายตั้งท้องคนแรกของโลก จะได้ลงกินเนสส์บุ๊ก หรือโชว์ว่าเป็นคนดังที่ทำเรื่องนี้เป็นคนแรกของโลก" น.ส.นุชให้ความเห็น
ขณะที่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขของไทย ให้ความเห็นว่า เรื่องบทบาทพ่อแม่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก หากสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่มีการวางแผนเลี้ยงดูเอาไว้ล่วงหน้า หรือเลี้ยงดูโดยไม่รู้หลักจิตวิทยาก็อาจจะมีปัญหาได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูตินารีแพทย์ กล่าวว่า ผู้ชายจริงๆ ท้องไม่ได้เด็ดขาด ถ้าไม่มีวิธีพิเศษช่วยก็ตั้งท้องไม่ได้ ไม่ควรไปลอง เพราะผู้ชายไม่มีมดลูก แต่ผู้หญิงเวลาแปลงเพศเป็นผู้ชาย จะแปลงเพศได้ 2 อย่าง คือ 1.ตัดทิ้งหมดทุกอย่างทั้งมดลูกรังไข่แล้วทำอวัยวะเทียมข้างนอกให้เป็นผู้ชาย กรณีนี้ให้ฮอร์โมนเพศชายไม่สูงนัก และกรณีโทมัสรังไข่ยังอยู่เข้าใจว่าแปลงเพศเป็นผู้ชายเสร็จแล้วก็ให้ฮอร์โมนเพศชายมากๆ ถึงมีหนวด มีเครา แต่อวัยวะภายในเพศหญิงยังอยู่ยังไม่ตัด
ส่วนกรณีที่ผู้ชายอยากอุ้มท้อง น.พ.พันธ์ศักดิ์ บอกว่า ก็สามารถทำได้เป็นกรณีพิเศษ คือ นำอสุจิของผู้ชายแท้ ไปผสมกับไข่ของผู้หญิง โดยผสมข้างนอกที่เรียกว่าเด็กหลอดแก้ว เสร็จแล้วไม่มีมดลูกจะฝังก็จะเจาะท้องฝังไว้ที่พังผืดที่เรียกว่าไขมัน เพราะพวกนี้จะมีเลือดมาเลี้ยงมาก แต่ระหว่างที่มันโตขึ้นก็ต้องรู้ถุงที่เลี้ยงเด็กไม่มีกล้ามเนื้อมดลูกแข็งๆ มาปกป้องไว้เวลาท้องอาจจะแตกได้ เวลาแตกก็จะตกเลือดในท้องซึ่งอันตรายอาจตายได้ ถือว่าทฤษฎีเป็นไปได้
แต่ความเป็นจริงคงไม่มีใครกล้าทำ การเอารังไข่ไปฝังในตัวผู้ชายก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะสเปิมเข้าไปเจอไม่ได้ เนื่องจากธรรมชาติผู้หญิงช่องคลอดจะต่อกับมดลูก จะมีท่อนำไข่ยื่นยาวไปเจอรังไข่ ทุกเดือนรังไข่ก็จะตกไปยังท่อนำไข่ เวลามีเพศสัมพันธ์ตัวอสุจิจะว่ายผ่านมดลูกไปเจอกันที่ท่อนำไข่ เมื่อปฎิสนธิแล้วจะย้อนกลับไปฝังในมดลูก ถ้าเป็นผู้ชายเอารังไข่ฝังเข้าไปก็แค่ทำให้มีฮอร์โมนเพศหญิงไข่ตกเท่านั้นท้องไม่ได้ ต้องมาผสมข้างนอก ซึ่งผู้ชายแท้ตั้งท้องแพทย์ก็คงไม่แนะนำ
ข้อมูลจาก