
น้ำมันแพงเป็นเหตุคนแห่ใช้ก๊าซบ้านพุ่ง ชี้กองทุนฯอ่วมต้องจ่ายปตท.เพิ่มเท่าตัว
ธพ.ชี้ต้องขึ้นราคาแอลพีจีมากกว่าแผนที่กำหนดอิงราคาตลาดโลก 10% ในเดือนกรกฎาคมนี้ หลังภาระนำเข้าพุ่งกว่าเท่าตัวเป็น 800 ล้านบาท หรือนำเข้าเพิ่มเป็น 4 หมื่นตันต่อเดือน เหตุรถยนต์แห่มาใช้เพราะทนพิษน้ำมันแพงไม่ไหว คาดมีรถแอลพีจีแล้วถึง 1 แสนคัน
นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยภายหลังหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในชายแดนไทย-พม่า บริเวณ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อขอความร่วมมือในการควบคุมการลักลอบส่งออกก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) บริเวณเวณชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนว่า ขณะนี้ปริมาณการใช้แอลพีจีในประเทศเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะในภาครถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาก จนส่งผลให้ในเดือนมิถุนายนต้องนำเข้าแอลพีจีเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จากเดือนเมษายนที่นำเข้าอยู่ 2 หมื่นตัน เพิ่มเป็น 4 หมื่นตันต่อวัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องชดเชยเงินให้กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพิ่มขึ้นด้วย จากระดับ 350 ล้านบาท เป็น 700-800 ล้านบาท
"เมื่อมีการนำเข้าเพิ่ม การขึ้นราคาแอลพีจีในส่วนขนส่งและภาคอุตสาหกรรมก็ต้องปรับขึ้นมากกว่าแผนเดิมที่กำหนดตามไปด้วยเพื่อเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯไปให้ ปตท.ที่รับภาระไปก่อน นอกจากนี้ยังจะต้องมีการปรับขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับราคาตลาดโลก โดยรัฐบาลมีนโยบายจะปรับราคาไปเรื่อยๆ จนกว่าปริมาณการใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมจะลดลง ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป แต่ยังบอกไม่ได้ว่าเท่าใด และจะไม่มีการบอกล่วงหน้า เพราะจะเกิดปัญหาการกักตุน อย่างไรก็ตาม ในส่วนภาคครัวเรือนนั้นยังไม่มีแผนปรับขึ้นแต่อย่างใด"
นายเมตตากล่าวว่า นอกจากนี้การปรับราคาแอลพีจีจะต้องพิจารณาถึงราคาในประเทศเพื่อนบ้านด้วย เพราะการตรึงราคาขายในประเทศทำให้มีแรงจูงใจทำให้เกิดการลักลอบส่งออก หากคำนวณราคาในประเทศอยู่ที่ระดับ 270-280 บาทต่อถัง สำหรับถัง 15 กิโลกรัม แต่ราคาประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า เฉพาะเนื้อก๊าซ อยู่ที่ 700-800 บาทต่อถังแล้ว กรมจึงต้องขอความร่วมมือกับหน่วยงานตามแนวชายแดน ทั้งลาว กัมพูชา และพม่า ป้องกันการลักลอบส่งออก และจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่าการลักลอบส่งออกนอกจากผิดกฎหมายแล้ว ยังเพิ่มภาระการนำเข้าให้ประเทศ ซึ่งท้ายที่สุดก็ต้องเพิ่มการขึ้นราคาภาคขนส่ง
"ยอมรับว่าการใช้แอลพีจีในรถยนต์ และอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อู่ติดตั้งไม่ทัน คิวยาวมาก ล่าสุด คาดว่ามีรถแอลพีจีถึง 1 แสนคัน เพราะความพร้อมของเอ็นจีวียังไม่จูงใจพอ ราคาเอ็นจีวีกับแอลพีจีก็แตกต่างกันน้อย ในอนาคตก็ต้องเพิ่มความแตกต่างให้มากขึ้น จึงเชื่อว่าในที่สุดการใช้แอลพีจีจะลดลง และการนำเข้าคงไม่ถึง 1 ล้านตัน อย่างที่ ปตท.คาด อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความพร้อมของเอ็นจีวี และนโยบายการปรับราคาของรัฐบาลว่าจะปรับขึ้นมากเท่าใด ขึ้นอยู่กับการเมืองด้วย เพราะนโยบายแต่ละพรรคไม่เหมือนกัน"
อนึ่ง แผนการลอยตัวราคาเอ็นจีวีที่เริ่มในเดือนกรกฎาคมนี้ ในส่วนของภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมจะเป็นการปรับราคาขึ้นโดยเพิ่มสัดส่วนราคาตลาดโลกจากเดิม 5% เป็น 10% และปรับขึ้น 20% ซึ่งคาดว่าจะเป็นในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ และปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับ 40%
ข้อมูลจาก
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต






