เครือข่ายสตรีกัด "วัลลภ" ไม่ปล่อย ตั้งเวทีเสวนาย้อนรอยเส้นทางสอบ "พลเดช" แฉพบพิรุธทีมงานปลัดพม.มีเงินในบัญชีผิดปกติ แถมเจ้าตัวยังเปิดบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์ทิ้งไว้ถึง 10 บัญชี ด้าน ก.พ. แนะช่องสอบวินัยชนิด "ไม่ร้ายแรงได้" ฮือฮา "ผู้ตรวจมาม่าซัง" จัดส่งสาวให้นาย
ที่โรงแรมเวียงใต้ เครือข่ายองค์กรด้านเด็กและสตรีเพื่อติดตามการตรวจสอบจริยธรรมทางเพศผู้บริหารระดับสูง จัดเสวนา "ย้อนรอยเส้นทางการตรวจสอบข้าราชการระดับสูง?" เมื่อวัน 15 มิถุนายน เนื่องจากยังเคลือบแคลงสงสัยต่อการยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นายวัลลภ พลอยทับทิม ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีตัวแทนองค์กรเด็ก สตรี ครอบครัว ร่วมเสวนาทั้งหมด 30 คน
นพ.พลเดช ปิ่นประทีป อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ พม. กล่าวว่า คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่มีนายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานสอบข้อเท็จจริงใน 6 ประเด็นที่มีการกล่าวหานายวัลลภ แต่ระบุว่ามีมูลประเด็นคือบกพร่องในการปฏิบัติบัติหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตในสำนักงานธนานุเคราะห์ที่มีการประะเมินราคาทรัพย์เกินจริง ก่อให้เกิดความเสียหายถึง 40 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบเจ้าหน้าที่ทีมงานของนายวัลลภบางคนมีความเคลื่อนไหวของเงินในบัญชีธนาคารผิดปกติ เฉพาะสหกรณ์ออมทรัพย์ของกระทรวง คนเดียวเปิดถึง 10 บัญชี ดังนั้น ควรมีการสานต่อการสอบสวนทางวินัยนายวัลลภต่อไป
"พม.ไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะคนในกระทรวงรู้พฤติกรรมว่าเป็นอย่างไร เมื่อกลับมาเป็นปลัดอีกครั้ง อย่าใช้อำนาจตามอำเภอใจ หรือแก้แค้น เพราะถ้ามีกระแสสังคมขึ้นมาอีกครั้งปัญหาจะหนักกว่าเดิม" นพ.พลเดชกล่าว
นายปรีชา นิศารัตน์ ผู้แทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) กล่าวว่า ความจริงการสอบวินัยข้าราชการนั้นสามารถแยกเป็น การสอบวินัยร้ายแรงและการสอบวินัยอย่างไม่ร้ายแรง กรณีของนายวัลลภมีมูลชี้ว่าเป็นความบกพร่อง หากมีการสอบวินัยไม่ร้ายแรงก็อาจจะมีเหตุผลที่ฟังขึ้นมากกว่า การสอบวินัยไม่ร้ายแรงนั้นเมื่อสอบไปอาจจะมีมูลชี้ให้เป็นความผิดที่ร้ายแรงก็ได้ เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการ พม.คนใหม่ดำเนินการต่อไป
นางทิชา ณ นคร กล่าวว่า เครือข่ายจะขอเข้าพบนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการ พม. เพื่อให้มีการสอบสวนนายวัลลภใหม่ รวมทั้งทบทวนการกลับเข้ามารับตำแหน่ง เพราะหากสอบสวนขณะที่นายวัลลภยังเป็นปลัด พม. คงไม่มีข้าราชการคนใดกล้าให้ข้อมูล
"บทเรียนครั้งนี้ทำให้รู้ว่าอย่าหวังอะไรกับการเมือง และข้าราชการประจำ แต่ภาคสังคมต้องเข้มแข็งและร่วมกันตรวจสอบ เพราะภายใต้รัฐบาลที่ฉ้อฉลชุดนี้ มองกันถึงระบบอุปถัมภ์ ก็คงไม่อุ่นใจ" นางทิชากล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวทีเสวนามีการเปิดเผยข้อมูลจากแหล่งข่าวว่ามีผู้บริหารหญิงในกระทรวงแห่งหนึ่งถูกตั้งฉายาว่า "ผู้ตรวจมาม่าซัง" เนื่องจากคอยจัดหาผู้หญิงให้ดูแลรับใช้ผู้บังคับบัญชาระหว่างออกตรวจพื้นที่ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผู้หญิงบางคนไม่เต็มใจ แต่ถูกคำสั่งให้มารับใช้
ข้อมูลจาก
