ตะลึงกลุ่ม "เด็กเสี่ย" อีสาน หันฉีดสารทำท้องป่อง ลวงว่า "ท้อง" ใช้จับเสี่ย-ตบทรัพย์เมียหลวง บางรายหวังป่องหนีคลุมถุงชน แฉทำง่ายคลินิกศัลยกรรมหรือคลินิกรับทำแท้งเกลื่อนแค่เข็มละ 3,000 บาท หากให้ยุบก็ไปฉีดสลาย ระบุมหาสารคาม-ขอนแก่น คลินิกรับทำเพียบ หมอยันยังไม่มีสารฉีดทำให้ท้องป่อง คาดเป็นสารซิลิโคน
เคยเป็นข่าวฮือฮาเมื่อหลายปีก่อน ที่ผู้หญิงหลอกสามีว่าตั้งครรภ์ เพื่อเอาใจหรือเพราะกลัวสามีไม่รัก โดยระหว่างหลอกว่าท้อง ก็ต้องนำผ้ามามัดไว้ที่ท้องใส่เสื้อคลุมปิดเพื่อให้เห็นขนาดของท้องใหญ่ขึ้น แต่ปัญหาจะเกิดก็เมื่อครบกำหนดคลอด ทำให้มีผู้หญิงบางคนตัดสินใจขโมยทารกจากโรงพยาบาล จนเกิดเป็นคดีความเป็นข่าวขึ้นมาหลายครั้งหลายครานั้น
ปัจจุบันการตั้งครรภ์เพื่อเอาใจหรือเพื่อผูกมัด หลอกลวงหวังทรัพย์สินมีวิธีการที่ง่ายกว่า ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ฉีดยาให้ "ท้องป่อง" คล้ายคนตั้งครรภ์จริงๆ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นและหญิงวัยทำงานในภาคอีสาน ที่เรียกกันติดปากว่า "ท้องลม"
น.ส.แก้ว อายุ 22 ปี นักศึกษาใน จ.มหาสารคาม หญิงสาวที่เคยใช้วิธีนี้หลอกชายมาแล้ว เล่าว่าเคยมีเสี่ยมาติดพันและหลงรักอย่างมาก จึงคิดจะผูกมัดเพื่อให้เขาเลี้ยงดูอย่างดี แต่จะให้ตั้งครรภ์มีลูกจริงๆ ก็กลัวเพราะยังไม่พร้อมและยังอยู่ในวัยศึกษา เมื่อพูดคุยกับเพื่อนๆ จึงทราบว่า ปัจจุบันมีการฉีดสารบางอย่างเข้าไปในท้อง เพื่อให้ท้องป่องออกมาลักษณะคล้ายคนตั้งครรภ์ จึงคิดจะทำเพื่อขอเงินจากเสี่ยจำนวนหนึ่ง อ้างว่าไปทำแท้ง เผื่อว่าเขาทิ้งไปก็จะยังมีเงินเหลือเก็บไว้ใช้
จากนั้นจึงไปที่คลินิกแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น ตามที่เพื่อนแนะนำ พบคนในคลินิกไม่แน่ใจว่าเป็นแพทย์หรือไม่ ได้พูดคุยสอบถามกันเล็กน้อย มีการอธิบายถึงผลข้างเคียงและการดูแลตัวเองในช่วงที่รับสารนี้เข้าสู่ร่างกาย แต่บอกว่าไม่ต้องกังวลเพราะไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต หลังฉีด 1-2 สัปดาห์ ท้องจะเริ่มป่องจนมีขนาดคล้ายคนตั้งครรภ์ 3-4 เดือน หากต้องการให้ท้องขยายต่อเหมือนคนท้อง 6 เดือน ก็ต้องมาฉีดเพิ่ม แต่ไม่ควรทำหลายครั้งเพราะจะทำให้ท้องหย่อนหรืออ้วนได้ หากต้องการให้ท้องยุบลงกลับสู่สภาพเดิม ก็ให้มาฉีดสารละลายเท่านั้น
น.ส.แก้ว เล่าว่า หลังจากฟังสรรพคุณและราคาแล้ว จึงตกลงใช้บริการในราคา 3,000 บาท จากนั้นเขาได้ฉีดยาเข้าที่หน้าท้อง 1 เข็ม คาดว่าน่าจะใช้สารเหมือนที่ใช้สำหรับเสริมจมูกหรือเสริมหน้าอก จากนั้นก็กลับบ้านไป แรกๆ ที่ฉีดทำท้องลม รู้สึกอึดอัดมาก รับประทานอาหารได้น้อย กินมากท้องจะตึงจนอึดอัด เวลานอนท้องจะป่องนูนขึ้น คล้ายคนท้องจริงๆ รู้สึกได้ว่ามีก้อนอะไรมาอยู่หน้าท้องและเคลื่อนไหวไม่สะดวก
"หลังฉีดมาสองเดือน มองเห็นได้ชัดว่ารูปร่างคล้ายคนท้อง จึงไปบอกเสี่ย เขาตกใจมากแต่ก็เชื่อว่าตั้งครรภ์จริงๆ แต่ในที่สุดก็คิดแผนได้ว่า ควรขอเงินจากเมียเสี่ยดีกว่า จึงติดต่อไปบอกขอเงินเพื่อแลกกับการเอาลูกออกและรับว่าจะเลิกรากับเสี่ยอย่างเด็ดขาด โดยได้ยื่นข้อเสนอไปเป็นเงินหลายแสนบาท แรกๆ ก็ตกลงกันไม่ได้ แต่ในที่สุดเขาก็ยอมจ่าย จึงไปฉีดสารละลาย และเลิกกับสามีเขาตามที่รับปาก" น.ส.แก้วกล่าว
อีกราย น.ส.ส้ม อายุ 20 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ที่ใช้วิธีเดียวกันทำ "ท้องป่อง" หลอกพ่อแม่จนเชื่อสนิทใจ ทำให้รอดจากการถูกคลุมถุงชนไปได้ โดยอ้างว่า พ่อแม่บังคับให้แต่งงานกับปลัดคราวพ่อคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในวัยศึกษา และมีคนรักแล้ว เรียนอยู่ที่เดียวกัน จึงหาทางหนีการแต่งงาน กระทั่งได้รับคำแนะนำจากเพื่อนให้ทำ "ท้องลม" จึงไปทำที่คลินิกแพทย์แห่งหนึ่งใน จ.มหาสารคาม กระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 2 เดือน ท้องได้ป่องออกมาอย่างเห็นได้ชัด จึงไปบอกพ่อแม่ว่าตั้งท้องกับแฟนหนุ่ม จนทำให้การแต่งงานต้องยกเลิกไปในที่สุด
"ยอมทนถูกดุด่านิดเดียว เพื่อแลกกับการไม่ต้องแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่รัก ถือว่าคุ้ม เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ตัวปลัดเองก็ทราบเรื่อง จึงเลิกโทรศัพท์หรือมาหาที่บ้านอีก ทำให้ปัจจุบันคบหาอยู่กับแฟนได้อย่างเปิดเผย" น.ส.ส้มกล่าว
เรื่องนี้ นพ.สมบูรณ์ คุณาธิคม เลขาธิการราชวิทยาลัยสูติฯ ราชวิทยาลัยสูตินารีแห่งประเทศไทย กล่าวว่าเท่าที่ทราบไม่มีสารทางการแพทย์ใดที่ฉีดเข้าไปแล้วจะทำให้ท้องป่อง ยกเว้นเวลาผ่าตัดแล้วใส่แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป แต่อยู่ได้ไม่นานท้องก็จะยุบ
รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ซึ่งไม่ขอเปิดเผยนามให้ความเห็นส่วนตัวว่า ตามทฤษฎีแล้วไม่มีสารใดๆ ที่สามารถฉีดเข้าร่างกายได้ยกเว้นซิลิโคน ซึ่งไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อร่างกาย เหมือนกับคนที่เสริมซิลิโคนที่หน้าอก ซึ่งซิลิโคนนี้สามารถฉีดเข้าส่วนไหนของร่างกายก็ได้ ส่วนสารอื่นๆ นั้นคงไม่ต้องพูดถึง เพราะขนาดน้ำธรรมดา น้ำเกลือ หรือน้ำมันมะกอกที่ครั้งหนึ่งมีข่าวว่าผู้ชายฮิตไปฉีดเจ้าโลกให้ใหญ่ขึ้น แต่แล้วก็ทำให้เจ้าโลกเน่า สารพวกนี้มีอันตรายและจะไปทำปฏิกิริยากับร่างกาย จึงไม่น่าเป็นไปได้
"ตามความเห็นส่วนตัวแล้วเข้าใจว่า ถ้ามีการฉีดสารทำให้ท้องป้องจริง น่าจะเป็นซิลิโคนมากกว่า แรกๆ ก็อาจจะทำให้เชื่อได้ว่าท้อง เหมือนคนเสริมหน้าอก คือทำให้ดูใหญ่ขึ้น แต่อย่าลืมว่าสรีระร่างกายของผู้หญิงเวลามีบุตร ไม่ว่าจะเป็นคนรูปร่างเล็กแค่ไหน หากเวลาผ่านไป 4 เดือนหน้าท้องก็จะใหญ่ขึ้น ทำให้รู้ได้ว่าท้องจริงหรือไม่ เขาอาจจะหลอกได้นะ แต่คงได้ไม่นานหรอก" แพทย์รายนี้ให้ความเห็น
ศ.นพ.อภิชาติ จิตต์เจริญ ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ยังไม่เคยได้ยินข่าวว่ามีการฉีดในลักษณะดังกล่าวมาก่อน ถือเป็นข้อมูลที่แปลก และยังไม่สามารถพูดถึงรายละเอียดได้มาก เพราะไม่ทราบข้อมูล เบื้องต้นต้องดูว่าใช้สารอะไรฉีดเข้าหน้าท้อง และเป็นการฉีดตรงไหน บริเวณใด แต่คิดว่าน่าจะเป็นการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เป็นไปได้ว่าอาจเป็นการฉีดด้วยน้ำเกลือ หรือสารซิลิโคนเหลว
ศ.นพ.อภิชาติกล่าวต่อว่า หากเป็นการฉีดน้ำเกลือจะอยู่ในท้องได้ไม่นาน เพราะตามธรรมชาติร่างกายจะดูดซึมไป ไม่กี่วันท้องก็จะยุบแฟบลง ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีดเข้าไป แต่หากเป็นสารซิลิโคนเหลวจะอยู่ในร่างกายได้นานมาก แต่อาจมีผลเสียต่อร่างกายในภายหลังได้ เพราะซิลิโคนเป็นของเหลว อาจมีการไหลไปกองยังส่วนใดส่วนหนึ่งได้ ซึ่งเคยมีการนำมาใช้ในการตบแต่งเสริมความงาม ไม่ว่าจะเป็นเต้านม หรือเสริมจมูก
"ไม่ว่าจะเป็นการฉีดน้ำเกลือหรือสารใดๆ เข้าร่างกาย ย่อมเกิดปัญหาขึ้นในภายหลังได้ เพราะเป็นการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกาย อาจทำให้เกิดการแพ้ อักเสบ มีการติดเชื้อได้ และในกรณีคนที่มีอาการแพ้สารเหล่านี้ก็อาจมีภาวะรุนแรงมากขึ้นจนเป็นอันตราย นอกจากนี้ในกรณีการฉีดเกลือนั้น หากฉีดให้ผู้ที่มีภาวะโรคหัวใจก็อาจส่งผลต่อการเต้นของหัวใจผิดปกติได้" ศ.นพ.อภิชาติกล่าว
ขณะที่ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่รู้ว่าเป็นการฉีดสารอะไรเข้าร่างกาย หากเป็นการฉีดน้ำเกลือคงเป็นไปไม่ได้ เพราะร่างกายจะดูดซึมได้ทันที ไม่ถึงวันก็ดูดซึมหมดแล้ว แต่จะส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำ หากเป็นการฉีดสารซิลิโคนก็เป็นไปได้ยาก เพราะการฉีดซิลิโคนจะกระจายไปใต้ผิวหนัง ไม่สามารถควบคุมบริเวณให้อยู่ในที่ต้องการได้ เช่นเดียวกับการผ่าตัดเสริมเต้านม ที่ซิลิโคนเหลวต้องอยู่ในถุงและผ่าใส่เข้าไป หากเป็นการฉีดเข้าที่มดลูก ปกติก็ไม่มีใครทำ เพราะอันตรายมาก อย่างไรก็ตาม แพทยสภาขอตรวจสอบข้อมูลก่อน หากเป็นเรื่องจริง แพทย์ที่ดำเนินการถือว่ามีความผิดชัดเจน เพราะกรณีนี้ไม่ใช่เป็นการทำเพื่อการรักษา ผิดจรรยาบรรณแพทย์ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล