ผู้ประกอบการร้านเกมทั้งหลาย...โปรดฟังทางนี้ รัฐเล็งออกกฎเหล็กขึ้นทะเบียนร้านเกม
กระทรวงวัฒนธรรมดึงเอกชนในวงการเกมเข้าร่วมจัดระเบียบเกมคอมพิวเตอร์ ล่าสุดเตรียมหาแนวทางยื่นประเด็นจัดเรตติ้งเข้าครม.พิจารณา พร้อมรอประกาศกฏกระทรวงเชือดร้านเกมนอกรีต และผู้ค้าแผ่นผี ตั้งเป้าเสร็จภายใน 1 ปี
นางสาวอมรรัตน์ เทพกำปนาท ผู้อำนวยการสำนักงานภาพยนตร์ และวีดีทัศน์ กระทรวงวัฒนธรรม หนึ่งในคณะทำงานในการจัดระเบียบเกมคอมพิวเตอร์ กล่าวในงาน ประชุมสุดยอดแนวทางการแก้ปัญหาเกมในประเทศไทย ที่จัดขึ้นโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า กระทรวงฯ ยังอยู่ระหว่างการรอกฏกระทรวง กำกับดูแลทั้งในส่วนของการเผยแพร่ภาพยนตร์ และวีดีทัศน์ ซึ่งรวมถึงร้านเกม และคาราโอเกะ
โดยสาระสำคัญของกฏกระทรวงที่จะออกมา จะให้สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ดังกล่าวต้องขึ้นทะเบียนสถานประกอบการ ไม่ว่าจะเป็น โรงภาพยนตร์ ผู้ประกอบการร้านวีดีทัศน์ ซึ่งหมายถึง ร้านเกม และคาราโอเกะรวมไปถึงพวกที่ใช้เช่า หรือแลกเปลี่ยนภาพยนตร์ และเกมในรูปแบบดีวีดี ซีวีดี
"เชื่อว่า กฏกระะทรวงออกมา จะช่วยแก้ปัญหาให้ลดลงได้โดยเฉพาะร้านเกมนอกรีต และซอฟต์แวร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ โดยจะเร่งออกกฏกระทรวง และจัดเรตติ้งจะสามารถทำได้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี" ผู้อำนวยการกล่าว
กระทรวงเร่งรวบรวมข้อมูลหารือกับผู้ประกอบการด้านเกม และเกมเมอร์เพื่อหาข้อสรุปจัดเรตติ้งเกมที่จะใช้นำเข้ามาจำหน่ายในไทย แม้ว่าปัจจุบันเกมนำเข้าส่วนใหญ่จะมีการจัดเรตติ้งมาก่อนแล้วก็ตาม แต่เพื่อให้มีความสอดคล้องกับวัฒนธรรมของไทยก็ควรจะมีการจัดเรตติ้งเอง
"เรื่องจัดเรตติ้งเราต้องขอความร่วมมือกับทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวงการเกม แต่ในระหว่างนี้ก็สามารถยื่นประเด็นเรื่องการจัดเรตติ้งเข้าไปยังที่ประชุมครม.ได้ก่อน เพื่อให้มีการพิจารณาร่วมกัน"
ด้านนายฐิรวิชญ์ ธนผดุงเกียรติ ผู้ช่วยกรรมการผุ้จัดการ บริษัททรู ดิจิตอล เอ็นเตอร์เทนท์เม้นท์ จำกัด กล่าวว่า ปัญหาเกมคอมพิวเตอร์ไม่ได้มาจากเกมออนไลน์ เพราะส่วนใหญ่จะนำเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฏหมาย และมีการคัดกรองว่าเหมาะสมกับสังคมไทย โดยปัญหาที่เกิดขึ้น มาจากเกมละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งในตลาดเกมออฟไลน์ กว่า 90%จะเป็นเกมละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งหมด ซึ่งควบคุมไม่ได้ เพราะยังมีการเปิดจำหน่ายกันอย่างไม่กลัวกฏหมาย
"เกมออนไลน์ ถือเป็นเกมบนดินไม่ค่อยมีปัญหา แต่เวลาเกมใต้ดินเกิดปัญหา มักจะต้องให้เกมบนดินมาแก้ปัญหาให้ ซึ่งหากประเทศไทยยังมีซอฟต์วแวร์ละเมิดลิขสิทธิ์อยู่ ก็คงยากที่จะแก้ปัญหาเรื่องเกมได้"
อย่างไรก็ตาม มีการเสนอว่า ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้มีการโปรโมท และเผยแพร่เกมคอมพิวเตอร์ที่สร้างสรรค์ออกสู่สื่อมากขึ้น ขณะที่มีการเผยแพร่ถึงความรุนแรง และความไม่เหมาะสมของเกมคอมพิวเตอร์นอกรีต รวมทั้งทำเป็นแคมเปญรณรงค์ออกสื่อในเชิงกว้าง เหมือนกับการณรงค์ให้เลิกบุหรี่ ซึ่งอาจทำให้สังคมมีความรู้สึกร่วมไปในทิศทางเดียวกัน และควรจะนำเสนอเรื่องนี้ขึ้นเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อกระตุ้นเตือน และให้สังคมได้หาแนวทางร่วมกันแก้ปัญหา
"ปัจจุบันเกม คือ สื่อสื่อหนึ่งที่เด็กเลือกบริโภคมากกว่าสื่ออื่นๆ เหมือนกับหนัง หรือเพลง ภาครัฐ ควรจะหาแนวทางให้สื่อประเภทนี้อยู่ในร่องในรอย"
ด้านนายเลิศชาย กันภัย กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การนำเข้าเกมแต่ละประเภท จะคำนึงถึงความเหมาะสมกับวัฒนธรรมของสังคมไทย ซึ่งมีเกมบางเกมที่นำเข้าเป็นเกมที่ต้องยิงต่อสู้ แต่ก็ไม่ได้มีความรุนแรง เพราะวัตถุประสงค์ของเกมต้องการให้เป็นกีฬา
"อุตสาหกรรมเกม มีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง สูงกว่าตลาดภาพยนตร์ และเพลง ในต่างประเทศเกมเป็นตลาดที่ทำรายได้เข้าประเทศ แต่ในไทยมีความขัดแย้งกันอยู่ คือ ภาครัฐเหมือนจะพยายามผลักดันให้อุตฯ เกมโต แต่ก็ยังมีบางส่วนมองว่า เกมออนไลน์เป็นพิษ เป็นภัยกับสังคม"
นายอิทธิพล ปรีติประสงค์ อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาการเด็ก และครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ทางออกที่เป็นรูปธรรมของปัญหาเกม กับเยาวชนได้ นอกจากจะโปรโมทเกมที่ดี และแบนเกมที่ไม่ดีออกสื่อแล้ว ยังต้องดึงพวกเกมมาสเตอร์ ซึ่งเป็นเหมือนสารวัตรนักเรียนเข้ามาร่วมในการเป็นหู เป็นตา หรือสร้างเป็นคอมมูนิตี้เกม ที่มีกิจกรรมสร้างสรรค์
นอกจากนี้ ยังได้มีการเสนอนำฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกระทรวงมหาดไทย ให้เกมมาสเตอร์ในเกมนั้นๆ สามารถใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ และจำกัดคนที่เล่นเกมที่อายุยังไม่ถึงได้
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอต่างๆ ที่เกิดขึ้นการระดมความเห็นครั้งนี้ จะถูกรวบรวมและจัดเป็นประเด็นๆ ต่างๆ เพื่อประกอบการพิจารณาหาแนวทางแก้ปัญหา โดยในวันที่ 21 สิงหาคม ทางกระทรวงวัฒนธรรมจะมีการจัดระดมอีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ภายใต้หัวข้อ "90 วันลูกหลานไทยพ้นภัยเกม"
ศึกษาและเรียนรู้การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างถูกวิธีได้ที่
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
