x close

ทำบุญบำบัดป่วย

ทำบุญ

          บุญคืออะไร ..ท่านพระครูสุจินต์วรคุณ เจ้าคณะตำบลศรีดอนชัย เขต 1 จังหวัดเชียงราย จึงได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า บุญคือความปลอดโปร่งโล่งสบายของใจ และความปลื้มปีติอิ่มเต็มในความรู้สึก โดยตามหลักพุทธศาสนา บุญสามารถเกิดขึ้นได้สามทางด้วยกันดังนี้ คือ

           การให้ทาน การให้ (ให้โอกาส ทุนทรัพย์ สิ่งของ กำลังใจ ความช่วยเหลือ ฯลฯ) ด้วยความตั้งใจบริสุทธิ์ไม่หวังสิ่งตอบแทน เป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ให้ได้บุญ ยิ่งถ้าทั้งผู้รับและผู้ให้มีใจบริสุทธิ์ทั้งคู่ ก็จะยิ่งได้อานิสงส์

           การถือศีล ศีลเป็นเหมือนกฎหมายที่คอยควบคุมความประพฤติทางกาย วาจา และใจของเราให้อยู่ในกรอบเกณฑ์แห่งความดี การรักษาศีลทั้งห้าข้อให้บริษสุทธิ์ สามารถทำให้ร่างกายอิ่มเอิบเป็นสุข รู้สึกจิตใจสะอาด และได้บุญ

           การเจริญภาวนา การทำใจให้รู้เท่าทันปัจจุบัน ขณะมีสติ มีสมาธิในการคิดตรึกตรองกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างรอบคอบและไม่ประมาท (วิธีภาวนาให้เกิดความเจริญงอกงามทางใจตามหลักพุทธศาสนา มี 3 เรื่องด้วยกันคือ การศึกษาศิลปวิทยาการต่างๆ ที่ส่งเสริมความฉลาดของตน การทำงานที่สุจริตด้วยเหตุผลอย่างตั้งใจอุทิศตนเต็มที่ และการรู้จักหาวิธีสงบใจไม่ให้ฟุ้งซ่านเพื่อลดความยึดมั่นถือมั่นใจตัว) ก็ทำให้ผู้ปฎิบัติได้บุญเช่นเดียวกัน

          ในทางศาสนา "บุญ" เป็นเหมือนยาทิพย์ที่แม้จะไม่ช่วยรักษาอาการของโรคทางกายต่างๆ ให้หายได้ทันทันที แต่ก็สามารถบำบัดความป่วยไข้ได้ แล้วในทางการแพทย์สมัยปัจจุบันล่ะ คุณหมอจะว่าอย่างไร

บุญช่วยกาย

          แพทย์หญิงอมรา มลิลา คุณหมอนักปฎิบัติธรรมจากชมรมพุทธธรรมจุฬา กรุณาตอบคำถามชวนสงสัยของพิมพ์พลอยให้ฟังว่า การทำบุญทั้งสามประเภทคือ การให้ทาน การถือศีล การเจริญภาวนา มีส่วนช่วยให้โรคภัยไข้เจ็บที่ผู้ป่วยเผชิญอยู่มีอาการดีขึ้นจริง กล่าวคือ

          "เดี๋ยวนี้มีองค์ความรู้ที่เรียกว่าโรคนามรูป คือใจที่เครียดเป็นกังวลจะทำให้ร่างกายของเราวิปริตแปรปรวน โรคชนิดนี้รักษายังไงก็ไม่หายจะมีแต่ทรงกับทรุด แต่พอได้รักษาด้วยการทำบุญ จิตใจจะเบิกบาน ได้ปิติอิ่มเอิบ อาการเจ็บป่วยจะดีขึ้น ซึ่งตรงนี้เองที่คนส่วนใหญ่เรียกว่าหายป่วยด้วยปาฎิหาริย์ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เขาหายเพราะใจสงบหรือเรียกง่ายๆ ว่า ทำบุญนั่นเอง เพราะในขณะที่เราทำบุญ เช่น การให้ทาน เป็นต้น ใจของเราจะเกิดความเมตตา มีความสบายใจ หรือที่เราเรียกว่าเกิดความปิติอิ่มเอมใจขึ้นในทันที ทำให้สมองส่วนไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) และต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) หลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข หรือเอ็นโดรฟิน (Endorphin) ออกมา ส่งผลให้หลอดเลือดแดงขยายตัวได้ดีขึ้น ปริมาณแล็คเตสในเลือดลดต่ำลง (ทำให้ความวิตกกังวลน้อยลง) ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานช้าลง"

          "ที่สำคัญยังทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิชีวิต ซึ่งทำหน้าที่คอยป้องกันและตรวจจับสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายเช่น ไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อมะเร็ง เป็นต้น มีการเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกาย (Immune system) ของเราแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งทำให้ความเจ็บปวดทางกายลดน้อยลง และหายจากโรคร้ายได้เร็วขึ้น"

          เช่นเดียวกับการทำบุญด้วย การถือศีล นั่งสมาธิเจริญวิปัสสนา ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพกาย เช่นเดียวกัน ดังที่คุณหมออมราได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า

          "จากการศึกษาระบบการเปลี่ยนแปลงของระดับสารเคมีในร่างกายพบว่า การนั่งสมาธิช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง จากประมาณ 75 -100 ครั้ง/นาที เหลือเพียง 65 ครั้ง/นาทีหรือน้อยกว่านั้น การหายใจช้าลงจะทำให้การหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลิน (Adrenaline) (ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการกระตุ้นไกลโคเจนในตับให้สลายตัวเป็นกลูโคส ทำให้ระดับกลูโคสในเลือดเพิ่มสูงขึ้น กระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วขึ้นทำให้ กระบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกายเพิ่มขึ้นมากขึ้น) ในร่างกายของเราลดลง"

          "ส่งผลให้คลื่นสมองมีการเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ เกิดเป็นความนิ่งสงบ ความเครียดความดันโลหิตลดลง อีกทั้งยังทำให้ผนังของถุงลมและหลอดเลือดฝอยในปอดมีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ดีขึ้น ร่างกายมีเวลาในการใช้ออกซิเจนเพื่อเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และถ่ายเทคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากกว่าภาวะที่เราหายใจปกติ และช่วยให้กล้ามเนื้อมัดเล็กและกล้ามเนื้อลายซึ่งทำงานภายใต้การควบคุมของจิตใจ และใช้ในการขยับเคลื่อนไหวกระดูกในร่างกาย เกิดการคลายตัว ทำให้หายเกร็ง"

          คุณหมออมรายังกล่าวอีกว่า ด้วยเหตุนี้คนที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคหืด โรคเครียด หรือแม้กระทั่งมะเร็ง ควรทำบุญเพราะจะสามารถทำให้อาการของโรคทุเลาลงได้

บุญช่วยใจ

          สอดคล้องกับที่ท่านพระครูสุจินต์วรคุณ บอกไว้เช่นกันว่า "ถ้าพูดถึงความป่วยทางใจ จะรุนแรงกว่าป่วยกาย เพราะถ้าใจเราป่วยก็จะส่งผลมาถึงกายได้ เช่น คนที่ร่างกายแข็งแรงดี แต่ถ้าไม่สบายใจก็จะรู้สึกว่าตัวเองป่วยไม่อยากกินข้าวดื่มน้ำ ซึ่งที่สุดก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายโดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุนี้ คนที่ทำบุญจึงรู้สึกสบาย เพราะเวลาที่เราทำบุญก็จะส่งผลให้จิตดี แล้วก็เหมือนกายดีไปด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไปไปทำบุญแล้วสุขภาพร่างกายเราถึงดีขึ้น โรคภัยไข้เจ็บทุเลา ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้หมายความว่าเราทำบุญแล้วความป่วยไข้ที่เป็นอยู่จะหายไปนะ มันอาจจะยังอยู่ แต่อาจจะทำให้เราเจ็บปวดน้อยลง"

          นอกจากนี้ ท่านพระครูสุจินต์วรคุณยังบอกอีกว่า หากอยากให้อานิสงส์ของบุญส่งผลสูงสุด ควรทำบุญให้ครบทั้งสามอย่างดังกล่าว เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วย เพราะจะยิ่งช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันทางใจ อันจะนำไปสู่กายที่เข้มแข็งได้ในเร็ววัน

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ทำบุญบำบัดป่วย อัปเดตล่าสุด 26 มกราคม 2552 เวลา 15:03:33 13,917 อ่าน
TOP