สุเทพ ท้า ทักษิณ โฟนอินปลุกเสื้อแดงทุกวัน (ไอเอ็นเอ็น)
รองนายกฯสุเทพ ท้าพ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินทุกวัน แนะหากอยากอยู่อย่างเสือต้องกลับบ้าน พร้อมยัน 2 รมต.ฉาว ยังไม่แสดงความจำนงขอลาออก
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น ไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพร้อมกับท้าให้เจ้าตัวโฟนอินทุกวัน และหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการอยู่อย่างเสือตามที่บอกกับบรรดาสมาชิกพรรคเพื่อไทยในเวทีสัมมนาที่ จ.นครราชสีมานั้น ก็ต้องเดินทางกลับบ้าน เพื่อต่อสู้คดี พร้อมกันนี้ ยังย้ำด้วยว่า กรณี 2 รมต.ฉาว จะไม่เป็นปัญหาส่งผลให้รัฐบาลชุดนี้อายุสั้น โดยที่รัฐบาลก็ไม่ได้ไปกดดันให้ลาออก ขณะที่ 2 รมต.เอง ก็ไม่ได้ออกมาแสดงความจำนงขอลาออกแต่อย่างใด ส่วนความคืบหน้า การปรับคณะรัฐมนตรีนั้น ต้องไปสอบถามจากนายกรัฐมนตรี หลังขอเวลาตัดสินใจ 3 วัน
นอกจากนี้ นายสุเทพ ยังปฏิเสธข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน ที่ออกมาระบุว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. อุ้มตน เนื่องจากไม่เรียกเข้าชี้แจง หลังมีมติให้ดำเนินคดีอาญา กรณีแจกสิ่งของช่วยน้องชายหาเสียง ซึ่งอาจทำให้ศาลยกฟ้องเพราะหลักฐานอ่อนนั้น ส่วนตัวเชื่อว่า หากศาลยกฟ้อง เพราะเห็นว่าตนไม่ได้ไปหาเสียง แต่ไปทำกิจกรรมวันสงกรานต์
ขณะที่ สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุ ว่าเขาพร้อมจะเดินทางกลับประเทศไทยและต่อสู้เพื่อจะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เนื่องจากสภาพร่างกายและจิตใจมีความสมบูรณ์ดี โดยถ้อยแถลงดังกล่าวเป็นการเปิดเผยผ่านสายโทรศัพท์หรือโฟนอินนาน 20 นาที ในระหว่างการประชุมสัมมนาของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งมาจากพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชนที่ถูกทางการสั่งให้ยุบพรรคไปก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดียังไม่มีการเปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างลี้ภัยทางการเมืองเนื่องจากถูกตั้งข้อหาก่อคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงโทรศัพท์มาจากประเทศใด อย่างไรก็ดีในระหว่างการโฟนอินครั้งนี้อดีตนายกฯทักษิณให้คำมั่นใจกับบรรดาคณะประธานบริหารพรรคเพื่อไทย รวมถึงบรรดาลูกพรรคว่าเขาจะสู้กับฝ่ายตรงข้ามเพื่อความยุติธรรม ขณะเดียวกันยังย้ำว่าเขาจะไม่ตายในต่างประเทศ แม้ว่าขณะนี้จะยอมรับว่าจะยังอาศัยในต่างประเทศเป็นเวลานานก็ตาม นอกจากนี้ยังได้กล่าวขอบคุณกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทำหน้าที่หลักในการต่อสู้ฝ่ายตรงข้าม อันถือเป็นกำลังสำคัญและเป็นงานหลักของเขา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ